Category Archives: ความรู้คู่บ้าน

การเลือกใช้น้ำมันเครื่องต้องเลือกอย่างไร?

          น้ำมันเครื่อง ส่วนสำคัญที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์ เปรียบเสมือนผู้ช่วย และผู้ปกป้องเครื่องยนต์ในเวลาเดียวกัน คือ เป็นสารหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน โดยทำหน้าที่คล้ายฟิล์มเคลือบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เพื่อลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ ช่วยระบายความร้อนให้กับชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ป้องกันการเกิดสนิม ชะล้างสิ่งสกปรกอย่าง คราบเขม่า ผงโลหะ เพื่อลดการอุดตันของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
วันนี้ แอดมินพาทุกท่านมาทำความรู้จัก การเลือกใช้น้ำมันเครื่องต้องเลือกอย่างไร? ไม่เป็นการเสียเวลา ไปรับชมได้ค่ะ

หัวข้อ

ประเภทของน้ำมันเครื่องรถยนต์

1. น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ (Full synthetic oil)

           น้ำมันเครื่องที่มีราคาแพงที่สุด เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดอยู่ที่ 15,000-20,000 กิโลเมตร เพราะมีอัตราการระเหยที่ต่ำ เป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี 100% จึงทำให้มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว และผู้ที่ต้องการดูแลรถเป็นพิเศษหรือรถที่มีราคาสูง

2. น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ (Semi-synthetic oil)

           ราคาอยู่ในระดับกลาง มีอายุการใช้งาน อยู่ที่ 7,000-10,000 กิโลเมตร น้อยกว่าแบบสังเคราะห์แท้ เป็นน้ำมันเครื่องที่มาจากการผสมน้ำมันพื้นฐาน (Base oil) แบบสังเคราะห์แท้ กับน้ำมันดิบ ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากความคุ้มค่าในเรื่องราคาและประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร

3. น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา
(Conventional Oil)

           มีราคาถูกที่สุด และมีอายุการใช้งานน้อยที่สุดจาก 3 ประเภท อยู่ที่ 5,000 กิโลเมตรเป็นน้ำมันเครื่อง ที่กลั่นมาจากน้ำมันดิบ และไม่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ใด ๆ  ได้มาจากธรรมชาติ 100%

การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง

          น้ำมันเครื่องรถยนต์ที่วางขายตามท้องตลาด จะแบ่งตามเครื่องยนต์ได้ 2 ประเภทคือ น้ำมันเครื่องดีเซล และ เบนซิน ซึ่งควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้ตรงกับประเภทเครื่องยนต์ของรถคุณ หรือหากไม่มั่นใจ สามารถศึกษาได้จากคู่มือรถยนต์ว่าเครื่องยนต์ของคุณควรเติมน้ำมันเครื่องรถยนต์ประเภทใด ซึ่งทั้ง 2 ประเภท ล้วนมีคุณสมบัติ ระยะเวลาการใช้งาน และราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ กึ่งสังเคราะห์ หรือแบบธรรมดา

         ปัจจัยสำคัญในการเลือกน้ำมันเครื่อง ควรจะเลือกค่าความหนืดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นภายในเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ซึ่งสามารถดูค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องได้จาก SAE ตามด้วยตัวเลข ซึ่งจะลงท้ายด้วย 5 หรือ 0 เช่น 15, 50 ซึ่งยิ่งตัวเลขที่มีค่ามาก ก็เท่ากับมีค่าความหนืดสูง ตัวเลขที่มีค่าน้อย น้ำมันเครื่องจะมีความใสมากกว่า ซึ่งการเลือกใช้ควรพิจารณาจากเครื่องยนต์ และอายุการใช้งาน

  • น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ มีความหนืดน้อย เช่น 0W30 หรือ 5W40 จะเหมาะกับเครื่องยนต์ใหม่ สมรรถนะดีเยี่ยม
  • น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ จะมีความหนืดเพิ่มขึ้นมา เช่น 10W40 หรือ 15W40 เหมาะกับรถยนต์ทั่วไป
  • น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา จะมีความหนืดสูงมาก เช่น SAE50 เหมาะกับรถยนต์รุ่นเก่า ใช้มานานหลายปี

วิธีเช็คน้ำมันเครื่องด้วย “ตัวเอง”

          สำหรับวิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก คุณเองก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่นเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่เท่านั้นข้อสำคัญ ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้านล่างให้เรียบร้อยก่อน

ขั้นตอนแรก

จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย

ขั้นตอนที่สอง

มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่

ขั้นตอนที่สาม

เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง

ขั้นตอนสุดท้าย

ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” อยู่เสมอ

***ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

แนะนำให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ1ครั้ง

วิธีบำรุงรักษารถยนต์

การซื้อรถสักคันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การดูแลรักษารถให้อยู่คู่กับเราและรองรับการใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล

การขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ทั้งการออกตัวที่ไม่กระโชกโฮกฮากและการเว้นระยะเบรกอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยรักษาความสมบูรณ์ของตัวรถให้คงอยู่ยาวนานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

2. ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง

การล้างรถช่วยให้ตัวรถดูสะอาดน่าใช้ พร้อมกับชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนและฝังอยู่ในร่องหลืบที่เรามองไม่เห็น ควรทำความสะอาดภายในห้องโดยสารให้สะอาดเอี่ยมด้วยเช่นกัน ไม่ควรลืมลงแว็กซ์รถให้ทั่วเพื่อรักษาคุณภาพสีรถให้สวยเงางามหลายปี

3. จอดรถในร่ม

พยายามหาที่จอดรถในร่มเพื่อรักษาสีของตัวรถและปกป้องห้องโดยสารจากแสงแดดที่แผดเผาของบ้านเรา ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจใช้แผงกันแดดปิดบังคอนโซลไว้เพื่อป้องกันความเสียหายของวัสดุพลาสติก

4. เช็คระยะสม่ำเสมอ

ความสำคัญของการเข้าเช็คระยะตามกำหนด คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตรวจสอบชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นทั้งกับรถใหม่และรถมือสอง ช่วยยืดอายุการใช้งานตัวรถและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

5. ดูแลยางรถยนต์

ตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงจะให้ความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันด้วย

6. ล้างห้องเครื่องยนต์

ล้างห้องเครื่องยนต์อย่างน้อยปีละครั้ง เพราะเครื่องยนต์ที่สะอาดจะมีอุณหภูมิการทำงานที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ที่สกปรก นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายบ้าง โดยอาจทำความสะอาดด้วยตนเองก็ได้แต่ควรระมัดระวังชิ้นส่วนสำคัญอย่างกรองอากาศ สายไฟและชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบอิเลกทรอนิก

7. เปลี่ยนหัวเทียน

หลายค่ายรถแนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความประหยัดน้ำมันและสมรรถนะเครื่องยนต์

8. ดูแลรักษาแบตเตอรี่

ถึงแม้แบตเตอรี่ในรถของคุณจะเป็นแบบ maintenance free หรือไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา แต่ก็ควรตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุการใช้งาน โดยควรทำความสะอาดให้ใหม่อยู่ตลอดเวลาและตรวจดูว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่

สินค้าแนะนำ

          เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สำหรับ วิธีเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ของคุณ และ แอดคิดว่าการบำรุงรักษาก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรุยนต์ของคุณด้วย เพราะ การที่เราจะมีรถยนต์ แต่เราแน้แต่การใช้งานตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของรถของท่านก็ จะเป็นการเปลื่องทรัพย์สินในภายกาคหน้าได้เช่นกัน แอดได้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจในการใช้รถ และท่านใดที่มีรถยนต์อยู่แล้ว ควรที่จะรักษารถของท่านให้อยู่ในสภาพดี และ ไม่คราวปล่อยให้เสียหายนะคะ เพราะอาจจะเกิดอัตรายกับท่านได้

มีช่องทางการสั่งซื้อง่ายๆมาแนะนำคะ

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline
📥2. ช้อบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline
🛒3. LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒4. NOCNOC :
🛒5. Shopee : https://shopee.co.th/wehomeonline
📞7. โทรหาเราสั่งของได้ 074-338-000

เคล็ดลับในการลวดเชื่อม (สำหรับผู้เริ่มต้น)

          ลวดเชื่อมที่ถือว่ามีความสำคัญต่องานเชื่อมโลหะทุกรูปแบบนั้นจะถูกทำขึ้นมาหลากหลายประเภท เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานของโลหะในแต่ละแบบมากที่สุด ดังนั้น เคล็ดลับในการเลือกซื้อลวดเชื่อม (สำหรับมือใหม่)คุณจึงควรรู้ถึงคุณสมบัติที่ดีของลวดเชื่อม เพื่อทำให้คุณได้ลวดที่มีคุณภาพ โดยดูจากลวดเชื่อมที่ดีควรมีความทนทานต่อความร้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมแก๊สหรือเชื่อมไฟฟ้าและมีความยืดหยุ่นในตัว ควรทนทานต่อทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศแบบใดก็สามารถที่จะเชื่อมต่อโลหะได้อย่างทนทาน แข็งแรง และใช้งานได้ยาวนาน ทำให้การเชื่อมต่อของโลหะเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมให้การยึดติดที่ดี มีความต้านทานต่อความร้อน ทนทานต่อรอยร้าว และสามารถเติมเต็มรอยต่างๆ และลวดเชื่อมที่จะได้รับความนิยม คือ ลวดที่ใช้แล้วควันน้อย ประกายไฟมีไม่มาก และไม่ทำให้กลิ่นรุนแรงมากจนเกินไป โดยเฉพาะ ถ้าเลือกที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับตัวงาน ย่อมทำให้คุณสามารถทำทุกงานออกมาอย่างดีเยี่ยมได้ง่ายดายมากขึ้นและให้ความปลอดภัยต่อการใช้งานที่มากกว่าเดิมอีกด้วย

เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม

เครื่องมือและอุปกรณ์เชื่อมไฟฟ้าที่จะกล่าวถึงมีดังนี้

1. เครื่องเชื่อม (Welding Machine)
2. ตัวจับลวดเชื่อมหรือตัวจับอิเล็กโทรด (Electrode Holder)
3. สายเชื่อม (Welding Cable)
4. ตัวจับสายดิน (Ground Clamps)
5. ข้อต่อสายเชื่อม (Quick – cable connector)
6. หน้ากากเชื่อม (Helmet)
7. หมวกนิรภัย (Safety Hat)
8. ค้อนเคาะสแลก (Chipping Hammer)
9. แปรงลวดทําความสะอาด (Wire Bruch)
10. คีมจับงาน (Tongs)

          หากท่านใดต้องการรู้ขั้นตอนการเลือกซื้อเครื่องเชื่อม แอดแนะนำ 3 ขั้นตอน การเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม แอดได้นำวิธีการเลือกอุปกรณ์ “ตู้เชื่อม” และหลักการเลือกซื้อ “ลวดเชื่อม” มาให้คุณได้อ่านกัน!!

เลือกขนาดของลวดเชื่อมที่เหมาะสม

            นอกจากจะต้องพิจารณาถึงลักษณะงานที่ทำ และทราบรายละเอียดของงานแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงขนาดที่เหมาะสมระหว่างลวดเชื่อมไฟฟ้า และตัวชิ้นงานเอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก และเพื่อป้องกัน อันตรายจากงานเชื่อมไฟฟ้า ซึ่งการใช้งานลวดเชื่อมไฟฟ้าแต่ละขนาดให้พิจารณาตามความเหมาะสมดังนี้

1. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 1.6mm. เหมาะสำหรับเหล็กบาง 0.8 – 1.0 mm. และงาน DIY ทั่วไป
2. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 2.0mm. เหมาะสำหรับเหล็กบางประมาณ 1mm.
3. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 2.6mm. เหมาะสำหรับเหล็กตัวซี , เหล็กกล่อง และเหล็กทั่วไป
4. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 3.2mm. เหมาะสำหรับงานโครงสร้างเหล็กทั่วไป และงานเชื่อมเรือเดินทะเล

ตั้งค่ากระแสเชื่อมให้ถูกต้อง

          กระเเสเชื่อม คือ การปรับตั้งค่าการกระเเสเชื่อมนั้น มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของการเชื่อมชิ้นงาน ซึ่งงานที่เราเชื่อมจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับการปรับกระเเสไฟของการเชื่อม การปรับหรือการตั้งกระเเสไปตามขนาดของลวดเเละของชิ้นมีหลากหลายรูปเเบบจะมีอะไรบ้างไปดูกัน

1. การเชื่อมเเบบ MMA หรือเรียกอีกอย่างว่าการเชื่อมเเบบไฟฟ้า

การเชื่อมเเบบไฟฟ้านั้นมีขั้นตอนก่อนเชื่อมดังนี้

  • เความเร็วในการเชื่อม
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามน้อย
  • เชื่อมได้ง่าย ไม่ต้องใช้ทักทํกษะในการเชื่อมมาก
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้บางชนิด
  • เครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้ราคาไม่สูงเปรียบเทียบกับราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้อง

การปรับกระเเสเชื่อมไฟฟ้าหรือ MMA

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบไฟฟ้าหรือ MMA

     เเน้นการเชื่อมเหล็กเป็นหลัก สำหรับอลูมิเนียม และสแตนเลสสามารถทำได้

2. การปรับกระเเสเชื่อม MIG/MAG

การเชื่อมเเบบ MIG/MAG มีขั้นตอนดังนี้

  • ความเร็วในขณะเชื่อมสูง
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามปานกลาง
  • ใช้เสลสูงในการติดตั้ง
  • ต้องใช้ทักษเเละความชำนาญปานกลางในการเชื่อม
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้บ้างชนิด
  • ราคาเครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้สูง เปรียบเทียบจากราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้อง

ขั้นตอนในการประกระเเสเชื่อมของระบบ MIG/MAG มีดั้งนี้

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบไฟฟ้าหรือ MIG

     เหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กที่ต้องการความรวดเร็ว แข็งแรง และประสิทธิภาพในการเชื่อมสูง สามารถเชื่อมอลูมิเนียม และสแตนเลสได้ด้วย

3. การปรับกรเเสเชื่อม TIG หรือ การเชื่อมอาร์กอน

การเชื่อมเเบบอาร์กอน หรือ TIG มีดังนี้

  • ความเร็วต่ำในขณะทำการเชื่อม
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามมาก
  • ใช้เวลาปานกลางในการติดตั้ง
  • ต้องใช้ทักษะในการเชื่อมสูง
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้หลากหลายชิ้น
  • เครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้นั้นมีราคาสูง เปรียบเทียบกับราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้องเป็นต้น

การปรับการเชื่อมอาร์กอนหรือ TIG มีดั้งนี้

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบอาร์กอนหรือ TIG

     สามารถเชื่อมวัสดุได้หลากหลาย ให้ความแข็งแรงสูง แต่ความเร็วต่ำในการเชื่อม

เทคนิคการเชื่อมที่เหมาะสม

การเชื่อมด้วยไฟฟ้า (Arc Welding)
การเชื่อมแก๊ส (Gas welding)

          การเชื่อมด้วยไฟฟ้าเป็นวิธีการเชื่อมโลหะ โดยการทำให้โลหะหลอมละลายพร้อม ๆ กับลวดเชื่อม ด้วยกระแสไฟฟ้า

1. การเชื่อมด้วยไฟฟ้า (Arc Welding)

การเริ่มต้นอาร์ค

          การเริ่มต้นฝึกหัดเชื่อมจะเริ่มต้นจากการอาร์คก่อน การอาร์ค คือ ระยะห่างระหว่างปลายลวดเชื่อมกับผิวโลหะงาน ซึ่งเป็นระยะพอดีที่จะทาให้การอาร์คเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นอาร์ค มี 2 วิธีคือวิธีการขีดและวิธีการเคาะ

วิธีการขีด เป็นการบังคับให้ลวดเชื่อมสัมผัสกับโลหะงานโดยการขีดออกข้าง ๆ จนเกิดการอาร์ค แล้วยกลวดเชื่อมขึ้นเล็กน้อยจนได้ระยะอาร์คที่ต้องการคือประมาณ 1/8 นิ้ว

วิธีการเคาะ เป็นการบังคับให้ลวดเชื่อมกระแทรกลงไปในแนวดิ่งจนสัมผัสกับโลหะงานแล้วยกขึ้น-ลง จนเกิดการอาร์ค ตามที่ต้องการ

ตำแหน่งท่าเชื่อมไฟฟ้า

     ในการเชื่อมไฟฟ้าจะมีท่าเชื่อมในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1. การเชื่อมต่อเกยในท่าราบ  การเชื่อมต่อเกยท่าราบเป็นแบบของรอยต่อที่นิยมใช้กันมากในงานอุตสาหกรรม ด้านต่าง ๆ จัดเป็นรอยต่อที่ประหยัด ไม่เสียเวลาในการเตรียมงาน รอยต่อเกยจะมีความแข็งแรงสูงสุดเมื่อเชื่อมรอยต่อทั้งสองด้าน ในการเชื่อมจะต้องไม่ใช้กระแสไฟสูงเกินไป มุมของลวดเชื่อมในขณะเชื่อมประมาณ 45 – 60 องศา การเคลื่อนไหวลวดเชื่อมจะเป็นลักษณะเดินหน้า ถอยหลัง ไปตามแนวเชื่อม การเคลื่อนไหวลวดเชื่อมเช่นนี้จะเป็นการอุ่นโลหะงานให้ร้อนล่วงหน้าก่อนที่จะเชื่อมไปถึง ซึ่งจะทำให้รอยเชื่อมนูนสมบูรณ์ และป้องกันไม่ให้สแลคหลอมเหลวไหลล้ำหน้ารอยเชื่อม

2. การเชื่อมรอยต่อชนท่าราบ  รอยต่อชนท่าราบเป็นรอยต่อที่ใช้กันมากสำหรับการต่อโลหะงานทั่วไป โลหะงานซึ่งหนาเกิน ¼ นิ้ว เมื่อทำการเชื่อมรอยต่อทั้งสองด้านแล้วจะเป็นรอยต่อที่มีประสิทธิภาพสูงมาก การที่จะให้รอยเชื่อมมีความแข็งแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของการซึมลึกของรอยเชื่อม ขนาดของการซึมลึกจะขึ้นอยู่กับขนาดของลวดเชื่อมและกระแสที่ใช้ในการเชื่อม สาหรับงานที่มีความหนา 3/16 นิ้ว เมื่อเชื่อมรอยต่อเพียงด้านเดียว รอยต่อจะเว้นระยะไว้เสมอ การเชื่อมรอยต่อชนท่าราบจะต้องปรับกระแสให้เหมาะกับลวดเชื่อม ขณะเชื่อมลวดเชื่อมจะต้องเอียงไปข้างหน้า 10 – 20 องศาตามทิศทางที่ลวดเชื่อมเคลื่อนที่ไป

3. การเชื่อมรอยต่อรูปตัวทีในท่าราบ  การเชื่อมรอยต่อชนรูปตัวที จะต้องปรับกระแสไฟให้สูงพอที่จะทำให้โลหะหลอมเหลวจนไหลได้ง่าย เพื่อทำให้เกิดการซึมลึกลงไปจนถึงส่วนล่างสุดของรอยต่อ การบังคับลวดเชื่อมไปยังมุมของรอยต่อ ต้องชี้อยู่บนโลหะแผ่นตั้งมากกว่าแผ่นนอน พร้อมกับเอียงลวดเชื่อมไปข้างหน้าประมาณ 30 – 40 องศา พยายามเคลื่อนลวดเชื่อมด้วยความเร็วสม่ำเสมอ และมีการเดินหน้าถอยหลังในระยะสั้น เพื่อเป็นการอุ่นงานส่วนล่างสุดของรอยต่อ และยังป้องกันสแลคหลอมเหลวล้าหน้ารอยเชื่อม

4. การเชื่อมในท่าขนานนอน  การเชื่อมรอยต่อแบบต่าง ๆ ในท่าขนานนอน การบังคับลวดเชื่อม จะต้องบังคับให้ลวดเชื่อมชี้ขึ้นเป็นมุม 20 องศา เพื่อใช้แรงผลักดันจากการอาร์ค ช่วยพยุงให้โลหะที่หลอมเหลวในแอ่งไหลลงมาไหลย้อนขึ้นไปกับรอยเชื่อม นอกจากนี้จะต้องเอียงลวดเชื่อมเป็นมุม 20 องศาในทิศทางการเคลื่อนที่ของลวดเชื่อมด้วย เช่นเดียวกับการเชื่อมในท่าราบ

5. การเชื่อมในท่าตั้ง  การฝึกหัดท่าเชื่อมลักษณะนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ การเชื่อมขึ้น (Up Hill) และการเชื่อมลง (Down Hill) การเชื่อมขึ้น มีเทคนิคที่สาคัญ คือการบังคับให้ลวดเชื่อมตั้งฉากกับพื้นผิวโลหะงานและการเอียงลวดเชื่อมทำมุมชี้ขึ้นไม่เกิน 10 องศา การปรับกระแสควรปรับให้มีกระแสค่อนข้างสูงเสมอ ขณะทาการเชื่อมควรเคลื่อนไหวลวดเชื่อมเป็นแบบยกขึ้น แล้วลดต่าลงมาที่แอ่งโลหะหลอมเหลวเป็นระยะประมาณ 2 นิ้วแต่ระวังอย่าให้การอาร์คดับ

การเชื่อมลง  จะต้องปรับกระแสให้เพิ่มขึ้น เอียงลวดเชื่อมทำมุมชี้ขึ้นประมาณ 15 – 20 องศา และบังคับลวดเชื่อมให้ตั้งฉากกับผิวหน้าของโลหะงาน ขณะเชื่อมควรใช้ระยะอาร์คสั้น ๆ เพราะตามปกติแล้วสแลค จะละลายไหลล้าหน้ารอยเชื่อม เมื่อเห็นว่าสแลค ไหลพยายามลดระยะอาร์คให้สั้นลง พร้อมกับเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น ถ้าไม่ได้ผลให้เคาะสแลคออกทำความสะอาด แล้วเริ่มเชื่อมต่อไป

6. ท่าเชื่อมเหนือศีรษะ  เป็นท่าเชื่อมที่ปฏิบัติยากที่สุด และเกิดอันตรายกับผู้ปฏิบัติมากที่สุดถ้าหากสวมชุดปฏิบัติงานไม่ถูกต้อง ที่สาคัญสำหรับการเชื่อมท่าเหนือศีรษะคือ การปรับขนาดของกระแสไฟต้องให้สูงไว้ และใช้ระยะอาร์คสั้น ๆ บังคับให้ลวดเชื่อมตั้งฉากกับพื้นผิวโลหะงาน และทำมุมเอียงประมาณไม่เกิน 10 องศา ตามทิศทางการที่ลวดเชื่อมเคลื่อนที่ไป การเคลื่อนที่ลวดเชื่อมจะเป็นลักษณะเดินหน้าถอยหลัง หรือเคลื่อนไหวลวดเชื่อมแบบส่าย

7. แบบของรอยต่อเชื่อม  แบบของรอยต่อเชื่อมต่าง ๆ สามารถแยกออกได้ตามพื้นฐานของรอยต่อเชื่อมเบื้องต้นสาหรับผู้ฝึกปฏิบัติงานใหม่ ได้ดังนี้

1. แบบรอยต่อชน (Butt Joint)

2. แบบรอยต่อเกย (Lap Joint)

3. แบบรอยต่อมุม (Corner Joint)

4. แบบรอยต่อตัวที (T – Joint)

5. แบบรอยต่อขอบ (Edge Joint)

ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า

     การปฏิบัติการเชื่อมใด ๆ ผู้ปฏิบัติต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด อุบัติเหตุกับตนเองหรือผู้อื่นความปลอดภัยเหล่านี้ได้แก่

1. การป้องกันนัยน์ตาและใบหน้า เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีอุตราไวโอเลต และรังสีอินฟาเรท หรือสะเก็ดไฟ โดยการสวมแว่นตานิรภัยและหน้ากากเชื่อม

2. ขณะทำการเชื่อมควรสวมเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยวัสดุทนไฟหรือติดไฟยาก

3. ถ้าเสื้อผ้าหรือกางเกงที่มีกระเป๋าจะต้องมีฝาปิด กางเกงจะต้องไม่พับขา

4. ขณะปฏิบัติงานควรสวมถุงมือหนังสาหรับการต่อเชื่อม

5. ถ้าไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า ห้ามทำการต่อไฟฟ้าเข้าเครื่องเชื่อมเอง ควรปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างไฟฟ้า

6. อย่าปล่อยให้ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดถูกรังสีขณะทาการเชื่อม

7. ห้องปฏิบัติงานต้องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ป้องกันควันที่เกิดจากการเชื่อม

8. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานในที่เปียกชื้นเพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดได้

9. ขณะทำการเชื่อมต้องคานึงถึงแหล่งวัตถุไวไฟ ควรให้อยู่ห่าง ๆ

10. ควรมีถังดับเพลิงอยู่ในบริเวณที่ทำการเชื่อม

1. การป้องกันนัยน์ตาและใบหน้า เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีอุตราไวโอเลต และรังสีอินฟาเรท หรือสะเก็ดไฟ โดยการสวมแว่นตานิรภัยและหน้ากากเชื่อม

2. ขณะทำการเชื่อมควรสวมเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยวัสดุทนไฟหรือติดไฟยาก

3. ถ้าเสื้อผ้าหรือกางเกงที่มีกระเป๋าจะต้องมีฝาปิด กางเกงจะต้องไม่พับขา

4. ขณะปฏิบัติงานควรสวมถุงมือหนังสาหรับการต่อเชื่อม

5. ถ้าไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า ห้ามทำการต่อไฟฟ้าเข้าเครื่องเชื่อมเอง ควรปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างไฟฟ้า

6. อย่าปล่อยให้ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดถูกรังสีขณะทาการเชื่อม

7. ห้องปฏิบัติงานต้องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ป้องกันควันที่เกิดจากการเชื่อม

8. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานในที่เปียกชื้นเพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดได้

9. ขณะทำการเชื่อมต้องคานึงถึงแหล่งวัตถุไวไฟ ควรให้อยู่ห่าง ๆ

10. ควรมีถังดับเพลิงอยู่ในบริเวณที่ทำการเชื่อม

2. การเชื่อมแก๊ส (Gas welding)

          การเชื่อมแก๊ส หมายถึงขบวนการที่ทำให้โลหะประสานกัน โดยการให้ความร้อนกับโลหะงานจนถึงอุณหภูมิที่โลหะชนิดนั้นหลอมละลาย โลหะเมื่อหลอมละลายจะรวมตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน การเชื่อมแก๊สเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันการเชื่อมมักจะใช้เปลวไฟที่เกิดจากการสันดาประหว่างแก๊สเชื้อเพลิงกับอากาศ การสันดาประหว่างแก๊สเชื้อเพลิงกับอากาศแยกออกเป็นแบบต่างๆ ได้ 3 แบบ คือ

1. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงกับออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศโดยตรง เช่น การสันดาปของเทียนไข หรือตะเกียงแก๊สที่แม่ค้าใช้ขายของตอนกลางคืนการสันดาปชนิดนี้จะมีผลดังนี้

   1.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิต่ำ

   1.2 เปลวไฟมีความสะอาดน้อยมาก

   1.3 ให้ปริมาณความร้อนต่ำ

2. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงในบรรยากาศผ่านรูดูดอากาศของหัวเผา ตัวอย่างของการสันดาปลักษณะนี้ได้แก่ ตะเกียงบุนเสน (Bunsen) การสันดาปลักษณะนี้จะมีผลดังนี้

   2.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงกว่าแบบแรก

   2.2 เปลวไฟมีความสะอาดมากกว่าแบบแรก

   2.3 ให้ปริมาณความร้อนมากกว่าแบบแรก

3. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงกับออกซิเจนที่นามาจากแหล่งที่มีความดัน โดยผสมกันก่อนการสันดาป เช่นการสันดาปของหัวเชื่อมแก๊ส การสันดาปลักษณะนี้จะมีผลดังนี้

    3.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงสุด

    3.2 เปลวไฟมีความสะอาดมากที่สุด

    3.3 ให้ปริมาณความร้อนมากที่สุด

การจุดเปลวไฟเชื่อม และการดับเปลวไฟแก๊ส

          ก่อนจุดเปลวไฟเชื่อมทุกครั้งต้องตรวจดูอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยเริ่มจากเครื่องกำเนิดแก๊ส หรือขวดบรรจุแก๊สว่ามีรอยรั่วหรือไม่ เครื่องบังคับแก๊ส ลิ้นนิรภัย เกจวัดความดัน และอุปกรณ์อื่น ๆ รวมทั้งสายเชื่อม หัวเชื่อม ที่สาคัญคืออุปกรณ์ป้องกันไฟกลับต้องมีน้ำบรรจุเต็มตามระดับที่กำหนดเมื่อตรวจอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย ให้เปิดลิ้นที่ขวดบรรจุแก๊สออกซิเจนก่อนโดยหมุนเปิดอย่างช้า ๆ และหมุนเปิดจนสุดระยะเกลียวทุกครั้ง เพื่อป้องกันแก๊สรั่วออกทางก้านลิ้น หลังจากนั้นให้เปิดลิ้นขวดบรรจุแก๊สอะเซทิลีน โดยหมุนเปิดเพียง 1-2 รอบ แล้วให้ปล่อยประแจที่ใช้เปิดคาไว้บนก้านลิ้น ปรับขนาดความดันแก๊สสำหรับหัวเชื่อม หรือหัวตัดตามที่บริษัทผู้ผลิตหัวเชื่อม หรือหัวตัดแนะนำไว้ เปิดลิ้นแก๊สออกซิเจนที่มือถือเชื่อมประมาณ 1/6 รอบ แล้วเปิดลิ้นอะเซทิลีนเล็กน้อยจากนั้นทดลองใช้มือบังที่ปลายหัวเชื่อม จะรู้สึกว่ามีแก๊สพุ่งออกมาจึง ใช้เครื่องมือจุดไฟจุด โดยให้มีระยะห่างจากปลายหัวเชื่อมประมาณ 25 ม.ม. และปรับเปลวไฟให้มีลักษณะตามต้องการการจุดเปลวไฟถ้าไม่เปิดแก๊สออกซิเจนจะมีเขม่าและควันมาก เพราะการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าเปิดแก๊สออกซิเจนมากก็จะจุดไฟไม่ติด ดังนั้นต้องเปิดแก๊สออกซิเจนให้พอเหมาะ

          การดับเปลวไฟที่ถูกต้องให้ปิดลิ้นแก๊สอะเซทิลีนก่อนแล้วจึงปิดแก๊สออกซิเจน เพราะจะไม่ทาให้เกิดเขม่าควัน และยังเป็นที่แน่ใจว่าเปลวไฟนั้นได้ดับจริง ๆ

ลักษณะของเปลวไฟที่ใช้ในการเชื่อมแก๊ส

          เปลวไฟ มีหน้าที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงาน จนมีอุณหภูมิสูงถึงจุด หลอมละลายขณะที่ปฏิบัติการเชื่อม เปลวไฟที่ดีเหมาะกับการเชื่อมต้องพุ่งเป็นลากรวยแหลมยาวออกจากหัวเชื่อม โดยตำแหน่งที่ร้อนที่สุดห่างจากปลายเปลวไฟชั้นในประมาณ 2 – 10 ม.ม. และมีอุณหภูมิสูงถึง 3,200 องศาเซลเซียส ถ้าเปลวไฟไม่ถูกต้องจะมีผลต่อการเชื่อม และคุณภาพของแนวเชื่อม ลักษณะของเปลวไฟที่ไม่ถูกต้องจำแนกออกได้ดังนี้

1. เปลวไฟเอียงและเปลวไฟแตกบานปลาย

เปลวไฟที่พุ่งออกจากหัวเชื่อมอาจจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแตกบานปลายไม่พุ่งเป็นลำกรวย ซึ่งมีสาเหตุได้หลายประการได้แก่ รูทางออกของแก๊สเอียงหรือขยายออกเป็นปากระฆัง มีสิ่งสกปรก สะเก็ดโลหะหรือเขม่าติดค้างภายในและบริเวณหัวทิป

วิธีแก้ไข้  ให้ทำความสะอาดหัวทิปเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่ โดยใช้ปลายหัวทิปถูกับแผ่นไม้เนื้อแข็งกลับไปกลับมาหลาย ๆ ครั้งในขณะที่ยังมีเปลวไฟอยู่ สิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะหลุดออกๆไป ไม่ควรถูกับไม้เนื้ออ่อนหรือแผ่นไม้ที่ทาสี เพราะจะทาให้เสี้ยนไม้หรือสีอุดตันหัวทิปข้อควรระวัง ห้ามใช้หัวทิปถูกับเหล็ก คอนกรีต อิฐ หิน เพราะจะทำให้หัวทิปสึกกร่อนได้

2. เปลวไฟขาดตอนจากปลายหัวทิป

การจุดเปลวไฟที่หัวเชื่อมบางครั้งจะพบว่าเปลวที่เกิดขึ้นพุ่งแรงและขาดตอนจากปลายหัวทิปมาก ไม่สามารถนำไปเชื่อมได้ ที่เป็นเช่นนี้เกิดจากความดันของแก๊สที่พุ่งผ่านหัวทิปสูงมากเกินปกติ ทำให้อัตราการไหลของแก๊สสูงตามไปด้วย

วิธีแก้ไข้  ให้ลดความดันของแก๊สออกซิเจนหรือแก๊สอะเซทิลีนให้ต่ำลงจากเดิม โดยปรับที่เครื่องบังคับแก๊สและปรับที่ลิ้นมือถือหัวเชื่อมแก๊ส จนเปลวไฟเชื่อมเป็นปกติ

3. เปลวไฟมีละอองน้ำปนออกมา

สังเกตได้จากเปลวไฟพุ่งแรงและมีละอองสีแดงเป็นฝอยอยู่ด้านในของเปลวไฟ สาเหตุเกิดจากอัตราการไหลของแก๊สอะเซทิลีนสูงกว่าปกติหรือมีน้ำในอุปกรณ์นิรภัยสูงกว่ากาหนด ทาให้น้ำส่วนที่เกินไหลปนออกมากับเปลวไฟ

วิธีแก้ไข้  ให้ถอดข้อต่อสายเชื่อมแก๊สอะเซทิลีนออกจากมือถือหัวเชื่อมแล้วปล่อยให้น้ำที่ปนมาและตกค้างอยู่ในสายเชื่อมออกให้หมด แล้วต่อยึดสายเข้ากับมือถือเชื่อมเหมือนเดิม จากนั้นให้ตรวจระดับน้ำในอุปกรณ์นิรภัยว่าได้ระดับตามที่กำหนดหรือไม่ ถ้าน้อยไปก็เติม ถ้ามากไปก็ปล่อยออกให้ได้ระดับที่กำหนด

4. เปลวไฟเปลี่ยนแปลงเสมอ

เปลวไฟจากหัวเชื่อมเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ บางครั้งพุ่งแรงบางครั้งพุ่งค่อยสลับกันไป เกิดจากความดันของแก๊สออกซิเจน หรือแก๊สอะเซทิลีนไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นเพราะเครื่องบังคับแก๊สไม่ทำงานตามปกติชิ้นส่วนภายในชำรุด เป็นต้น

วิธีแก้ไข้  ให้เปลี่ยนเครื่องบังคับแก๊สตัวใหม่ วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเครื่องบังคับแก๊สชำรุดหรือไม่ให้ดูที่เข็มเกจ วัดความดันเคลื่อนไหวหรือสั่นอยู่บ่อย ๆ

5. เปลวไฟเปลี่ยนเป็นเปลวออกซิไดซิ่ง ในขณะเชื่อม

สาเหตุเกิดจากการเชื่อมเป็นเวลานาน ๆ ทำให้หัวทิปมีอุณหภูมิสูง ทำให้แก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนแยกตัวไม่รวมกันตามปกติ แก๊สอะเซทิลีนจะลดปริมาณลงแต่แก๊สออกซิเจนยังคงเดิมทำให้เปลวกลาง เปลี่ยนเป็นเปลวออกซิไดซิ่ง

วิธีแก้ไข้  ต้องปรับเปลวไฟใหม่โดยเพิ่มปริมาณแก๊สอะเซทิลีนให้สูงขึ้นจากเดิม จนกระทั่งเปลวไฟเปลี่ยนเป็นเปลวคาร์บูไรซิ่งแล้วจึงลดแก็สอะเซทิลีนลงช้า ๆ ให้เปลวเปลี่ยนเป็นเปลวกลางเช่นเดิม หรือให้หยุดเชื่อมชั่วคราวเพื่อปล่อยให้หัวเชื่อมเย็นลงก่อนจึงทำการเชื่อมต่อไป

ชนิดของเปลวไฟที่ใช้ในการเชื่อม

          การสันดาปของแก๊สทั้งสองชนิดจากหัวเชื่อมแบ่งออกได้ 3 ลักษณะตามอัตราส่วนผสมดังนี้

1. เปลวคาร์บูไรซิ่ง (Carburizing Flame)

          เกิดจากการสันดาปของแก๊สทั้งสองชนิด แต่แก๊สอะเซทิลีนจะมากกว่าแก๊สออกซิเจน การสันดาปของเปลวชนิดนี้จะมีแก๊สอะเซทิลีนจะเผาไหม้ไม่หมด ถ้าทำการเชื่อมในห้องหรือสถานที่อับอากาศไม่มีอากาศถ่ายเทอาจเป็นอันตรายได้ ความร้อนที่ได้จากเปลวไฟชนิดนี้จะต่ำกว่า 3,200 องศาเซลเซียส นิยมใช้สาหรับเชื่อมโลหะที่มีจุดหลอมตัวต่ำ เช่น ตะกั่ว อะลูมิเนียม และอื่น ๆ นอกจากนี้คาร์บอนที่เหลือจากการสันดาปจะทาหน้าที่คล้ายฟลักซ์คลุมแนวเชื่อม ป้องกันแก๊สออกซิเจนไม่ให้เข้ามารวมตัวกับแนวเชื่อม สังเกตเปลวไฟจะมี 3 ชั้น

2. เปลวกลาง (Neutral Flame)

          เกิดจากการสันดาประหว่างแก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนจากหัวเชื่อมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 สังเกตได้ว่าเปลวไฟจะมี 2 ชั้น ชั้นในจะมีสีขาวนวลอมฟ้าสุกใสต่อจากปลายหัวทิป เปลวชั้นนอกล้อมรอบเป็นรูปกรวยแหลมยาว เปลวไฟชนิดนี้ให้อุณหภูมิความร้อนสูงสุดที่ 3,200 องศาเซลเซียส ตำแหน่งที่ร้อนที่สุดห่างจากเปลวไฟชั้นในประมาณ 2 – 10 ม.ม. ขึ้นอยู่กับขนาดหัวเชื่อม เปลวชนิดนี้นิยมใช้เชื่อมโลหะทั่ว ๆ ไป

3. เปลวออกซิไดซิ่ง (Oxidizing Flame)

          เป็นเปลวที่มีแก๊สออกซิเจนมากกว่าแก๊สอะเซทิลีนการสันดาปของแก๊สชนิดนี้จะมีแก๊สออกซิเจนตกค้างอยู่ และสังเกตได้ชัดว่าเปลวชนิดนี้มีเพียง 2 ชั้นเปลวในเล็กและหดสั้นติดกับปลายหัวทิป เปลวชั้นนอกมีสีฟ้าอ่อน อุณหภูมิของเปลวชนิดนี้จะต่ำกว่าเปลวกลางเล็กน้อย นิยมใช้เชื่อมโลหะประเภท บรอนซ์ เพราะจะทาให้คุณสมบัติของบรอนซ์ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านำเปลวชนิดนี้ไปเชื่อมเหล็กเหนียวจะเกิดฟอง มองเห็นบ่อละลายไม่ชัด แนวเชื่อมเปราะ และมีรูพรุนไม่แข็งแรง

          การระบายความร้อนหัวเชื่อม ขณะที่เชื่อมติดต่อกันเป็นเวลายาวนานหัวเชื่อมจะร้อนกว่าปกติ การระบายความร้อนจากหัวเชื่อมทำได้โดยจุ่มหัวเชื่อมลงในถังน้ำ ปิดเฉพาะลิ้นแก๊สอะเซทิลีนส่วนแก๊สออกซิเจนเปิดไว้เช่นเดิม อาจจุ่มหัวเชื่อมลงถังน้ำจนถึงข้อต่อระหว่างหัวเชื่อมและมือถือเพื่อระบายความร้อนทุกส่วน

การส่ายหัวเชื่อม การตั้งมุมหัวเชื่อมและการป้อนลวดเชื่อม

          ขณะที่ทำการเชื่อมชิ้นงานต้องตั้งมุมหัว เชื่อมให้เอนไปด้านหลังประมาณ 30 – 45 องศา กับผิวงานและทำมุมฉากกับด้านข้างทั้งสองด้าน หัวเชื่อมอยู่สูงจากงานมีระยะห่างจากปลายเปลวไฟชั้นในถึงผิวงานประมาณ 2 – 10 ม.ม.ตามขนาดของหัวเชื่อม

          ในการเชื่อมทุกครั้งต้องใช้เปลวไฟเผาชิ้นงานบริเวณแนวที่จะเชื่อมจนร้อนหลอมละลายเป็นแอ่งกลมหรือที่เรียกว่า บ่อละลาย (Puddle) ซึ่งเป็นส่วนที่ร้อนที่สุดหลังจากนั้นให้ส่ายหัวเชื่อมเล็กน้อยเพื่อให้ความร้อนแก่ชิ้นงานได้อย่างทั่วถึง เมื่อชิ้นงานหลอมละลายเป็นบ่อละลายแล้วจึงเติมลวดเชื่อมลงไปเป็นตัวประสานชิ้นงาน ส่ายหัวเชื่อมพร้อมกับเคลื่อนที่ไปช้า ๆ สม่ำเสมอ พยายามรักษาระยะการส่ายหัวเชื่อมและป้อนลวดเชื่อมให้สัมพันธ์กันตลอดเวลา การส่ายลวดเชื่อมจำแนกได้หลายแบบช่างเชื่อมจะเลือกส่ายแบบใดก็ได้ตามถนัด แต่ต้องให้ทีความกว้างพอเหมาะกับขนาดความหนาและรอยต่อของชิ้นงาน
ถ้าส่ายหัวเชื่อมกว้างบ่อละลายที่เกิดขึ้นก็จะใหญ่ และลึกลงไปในชิ้นงานมาก การประสานซึมลึกในชิ้นงานของแนวเชื่อมจะดียิ่งขึ้น ถ้าชิ้นงานหนาบ่อละลายจะต้องกว้างตามไปด้วย ถ้าชิ้นงานบาง การส่ายหัวเชื่อมต้องแคบลงเพื่อให้บ่อละลายมีขนาดเล็ก ถ้าส่ายหัวเชื่อมกว้างมากไปความร้อนจะสะสมมากทาให้ชิ้นงานทะลุได้ ดังนั้นการส่ายหัวเชื่อมต้องสัมพันธ์กับชิ้นงาน และลักษณะของรอยต่อด้วย

รอยต่อแบบต่าง ๆ สาหรับการ เชื่อมแก๊ส  รอยต่อพื้นฐานสาหรับ การเชื่อม แก๊สมีดังนี้

 1. รอยต่อชน (Butt Joint)

 2. รอยต่อเกย (Lap Joint)

 3. รอยต่อมุมเชื่อมด้านนอก (Corner Joint Weld Outside)

 4. รอยต่อมุมเชื่อมด้านในหรือรอยต่อฟิลเลท (Fillet Joint)

ตำแหน่งท่าเชื่อมจะแบ่งออกได้ดังนี้

 1. ท่าราบ (Flat Position)

 2. ท่าขนานนอน (Horizontal Position)

 3. ท่าตั้ง (Vertical Position)

 4. ท่าเหนือศีรษะ (Overhead Position)

รวมสินค้าแนะนำ

ลวดเชื่อม

          งานเชื่อมโหละ เป็นงานที่ต้องการความชำนาญ และความปราณีตในการเชื่อมโหละ เพราะ หากเชื่อมหนักจนเกินไป จะทำให้เหล็ก หรือโหละชำรุดได้ และหากเชื่อมเบา หรือ บางเกินไป อาจจะทำให้วัสดุเหล็กอหรือโลหะไม่สามารถติดกันได้ โดยการเชื่อโลหะจะต้องควบคุมแรงของมือ หรือ ทักษะที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว แต่สำหรับมือใหม่ ไม่ต้องตกใจไปนะคะ ว่า จะไม่ได้ หากทุกทางทำการฝึกฝน แอดเชื่อว่า ทุกท่านจะต้องทำได้และเป็นช่างมืออาชีพได้อย่างแน่นนอนเลยค่ะ !!
เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับบทความ “4 เคล็ดลับในการลวดเชื่อม (สำหรับผู้เริ่มต้น)” การที่เราจะเป็นช่างเชื่อมที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ทุกคนจะต้องเริ่มจากการที่ต้องทำการฝึกฝนกันนะคะ

 ขอบคุณข้อมูลจาก

เปรียบเทียบ เคมีภัณฑ์กันซึม อะคริลิค VS โพลียูรีเทน

          ดาดฟ้าเป็นพื้นที่โล่งกว้างชั้นบนสุดของตึกอาคารสูง เป็นพื้นที่ใช้ทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ เป็นจุดชมวิว พื้นที่โล่งสำหรับปลูกผักพื้นที่เล็ก ๆ ใช้พื้นที่ทำสระว่ายน้ำ ดาดฟ้าไม่มีหลังคาปกคลุม ดาดฟ้าจึงเป็นพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับฝนตกน้ำขัง น้ำรั่ว หากฝนตกมากเกินไปอาจเกิดภาวะระบายน้ำไม่ทัน เผชิญกับแดดแรง อาจทำให้คอนกรีตเสื่อมสภาพเร็ว เปื่อยผุแตกร้าวได้ง่าย ยิ่งเผชิญฝนแดดพายุนานหลายๆปี โดยไม่มีการดูแลรักษาจะส่งผลต่อโครงสร้างตึกได้ หากระบบกันซึมไม่มีประสิทธิภาพ หรือทำการปกป้องไม่ดีตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง จะทำให้น้ำฝนซึมลงในรอยร้าวเกาะกับเหล็กโครงสร้างภายใน ทำให้เหล็กมีสนิม และตันในที่สุด สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้าง และมีความเสี่ยงอันตรายต่อผู้อาศัยได้

          ดาดฟ้าจึงควรได้รับการปกป้องมากที่สุด วิธีติดตั้งกันซึมดาดฟ้าไมใช่เรื่องยาก มาดูกันว่าวิธีไหนเหมาะกับดาดฟ้าแบบใดบ้าง มีคุณสมบัติใดบ้าง ใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง

อะคริลิคกันซึม

          อะคริลิคกันซึม เป็นน้ำยากันซึมที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ โพลียูรีเทนกันซึม แม้ว่าจะไม่ดีเยี่ยมเท่ากัน แต่คุณสมบัติด้านเสริมความแข็งแกร่งเหนือกว่า เพราะอะคริลิคกันซึมช่วยป้องกันการแตกร้าวได้ดีกว่ากันซึมพียู แต่ต้องใช้งานร่วมกับเส้นใยประเภท Fiberglass และ Polyester Mat เส้นใยทั้งสองมีลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ เส้นใยไฟเบอร์กลาสหากส่องด้วยตัวช่วยอย่างกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเส้นใยแก้ว มีส่วนประกอบของทรายแก้ว หินปูน หินฟันม้า ถักทอกันเป็นเส้นใยเชื่อมกันอย่างหนาแน่น ส่วนเส้นใยโพลีเอสเตอร์ เป็นเส้นใยที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้มีความคงทนเหนียวแน่นและทนความร้อนได้ดีเยี่ยม เมื่อนำเส้นใยทั้งสองทำงานร่วมกับอะคริลิคกันซึม เช่น ทาเคลือบดาดฟ้า, ปูบนดาดฟ้า จะยิ่งทำให้อะคริลิคกันซึมมีความทนทานต่อความร้อน ป้องกันการเกิดรอยแตกได้ดี

โพลียูรีเทนกันซึม

          โพลียูรีเทนกันซึม หรือเรียกว่า กันซึมพียู (PU Waterproof) เป็นวัสดุกันซึมชนิดโพลียูรีเทนสูตรน้ำ สำเร็จรูป พร้อมใช้งาน แบบส่วนผสมเดียว เหมาะที่สุดสำหรับใช้เคลือบผิวคอนกรีตบนดาดฟ้า ทากันน้ำรั่วซึม ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันความร้อน ป้องกันน้ำรั่วซึมไม่ให้ไหลซึมลงผิวคอนกรีต ทั้งนี้ยังมีความยืดหยุ่นตัวสูง 800 เปอร์เซ็นต์ ไร้รอยต่อ กันน้ำรั่วซึม 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าโครงสร้างอาคารจะสั่นสะเทือน หรือเจอแดดร้อนมากแค่ไหนก็ไม่หวั่น ช่วยปกปิดรอยแตกร้าว ของคอนกรีต ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ดี สามารถทนต่อแสงแดด ทนต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ไม่มีส่วนประกอบของสารระเหยอันตราย หรือสารที่ติดไฟได้ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โพลียูรีเทนจะยืดขยายตัวออกเพื่อปกปิดรอยร้าว ไม่ให้น้ำไหลผ่านรอยร้าวนั้นได้

รู้หรือไม่!!  วัสดุกันซึมมีให้เลือกใช้หลายแบบ โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1 วัสดุกันซึมแบบผสมในคอนกรีต 2. เคมีภัณฑ์กันซึมหรือแบบทา 3. วัสดุกันซึมแบบแผ่นหรือเมมเบรน 

ข้อดี – ข้อเสีย อะคริลิคกันซึม VS โพลียูรีเทนกันซึม

รู้หรือไม่!!  วัสดุกันซึมมีให้เลือกใช้หลายแบบ โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1 วัสดุกันซึมแบบผสมในคอนกรีต 2. เคมีภัณฑ์กันซึมหรือแบบทา 3. วัสดุกันซึมแบบแผ่นหรือเมมเบรน 

ประเภท

ข้อดี

ข้อเสีย

– เนื้อวัสดุมีความยืดหยุ่น ไม่หดตัวเมื่อทาเสร็จแล้ว
– ช่วยป้องกันนำซึมผ่านมากกว่าป้องกันน้ำกักขัง
– สะท้อนความร้อนจากแสงแดดได้
-มีให้เลือกหลายสี ช่วนให้ตกแต่งหน้างานได้สวยงาม

 

– ไม่เหมาะสำหรับทาปิดรอยแตกที่ลึกเกิน 2 มม. แนะนำให้ใช้ตาข่ายไฟเบอรเพื่อยึดเกาะรอยแตกแล้วทาอะคริลิคทับอีกที จะช่วยยึดเกาะรอยต่างๆ ให้สนิทขึ้น
– ไม่ทนต่อบริเวณที่เกิดการขังน้ำมีโอกาสเกิดการรั่วซึมได้

– มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปกปิดรอยแตกร้าวได้ดี และไม่หดตัว
– ทนทานต่อแรงขีดข่วน
– ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิ และรังสี UV
– ช่วยหชป้องกันได้ทั้งน้ำไหลซึม และน้ำขังได้ดี

– เนื้อวัสดุมีความเหนียวตัวกว่าแบบอะคริลิค จะใช้งานทาทับยากกว่า
-มีราคาสูงกว่าแบบอะคริลิค

 

 

ประเภท

ข้อดี

– เนื้อวัสดุมีความยืดหยุ่น ไม่หดตัวเมื่อทาเสร็จแล้ว
– ช่วยป้องกันนำซึมผ่านมากกว่าป้องกันน้ำกักขัง
– สะท้อนความร้อนจากแสงแดดได้
-มีให้เลือกหลายสี ช่วนให้ตกแต่งหน้างานได้สวยงาม

 

ข้อเสีย

– ไม่เหมาะสำหรับทาปิดรอยแตกที่ลึกเกิน 2 มม. แนะนำให้ใช้ตาข่ายไฟเบอรเพื่อยึดเกาะรอยแตกแล้วทาอะคริลิคทับอีกที จะช่วยยึดเกาะรอยต่างๆ ให้สนิทขึ้น
– ไม่ทนต่อบริเวณที่เกิดการขังน้ำมีโอกาสเกิดการรั่วซึมได้

ประเภท

ข้อดี

– มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปกปิดรอยแตกร้าวได้ดี และไม่หดตัว
– ทนทานต่อแรงขีดข่วน
– ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิ และรังสี UV
– ช่วยหชป้องกันได้ทั้งน้ำไหลซึม และน้ำขังได้ดี

ข้อเสีย

– เนื้อวัสดุมีความเหนียวตัวกว่าแบบอะคริลิค จะใช้งานทาทับยากกว่า
-มีราคาสูงกว่าแบบอะคริลิค

 

 

อะคริลิคกันซึม VS โพลียูรีเทนกันซึม ต่างกันอย่างไร

ซ่อมแซมรอยแตกร้าวด้วยกันซึม Bitumen membrane

แผ่นกันซึม Bitumen membrane มักไม่นิยมเลือกใช้ปูบนดาดฟ้าเท่าไหร่ แต่จะใช้งานประเภทปิดรอยต่อและซ่อมแซมรอยต่อ เพราะปิดรอยต่อได้ 100% โดยน้ำไม่สามารถเล็ดรอยผ่านไปได้เลย มักใช้งานจำพวกปิดรอยต่อใต้หลังคา, กระเบื้อง, คอนกรีต มีคุณสมบัติยึดเกาะได้ดีกับทุกพื้นผิว ป้องกันการรั่วซึมได้อย่างดี มีความยืดหยุ่นสูง

แผ่นกันซึม ชนิดนี้มีส่วนประกอบจากยางมะตอยกลั่น และโพลิเมอร์เกรดสูง เสริมด้วยผ้าตาข่ายโพลิเอสเตอร์และไฟเบอร์กลาส ทำให้มีความแข็งแรง เหนียว ทนทานต่อการฉีกขาด

ปูพื้นดาดฟ้าให้มีสีสันสดใสด้วย กันซึม PVC membrane

กันซึม PVC membrane  เป็นแผ่นพลาสติกกันซึมที่ถูกจัดว่าดีที่สุดในตระกูลเมมเบรน เพราะว่าทนทานต่อทุกสภาพอากาศได้ถึง 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นแดดร้อน ฝนตก น้ำขัง เพราะว่าปูพื้นทับดาดฟ้าไปเลย ทำให้ปกป้องพื้นผิวดาดฟ้าไม่ให้โดนแดดโดนน้ำ 100% เพราะเมมเบรนจะรองรับปัญหาดังกล่าวไว้หมด อีกทั้งแผ่น กันซึม PVC membrane ยังมีสีสันสดใส ทำให้ดาดฟ้าสวยได้ตลอดทั้งแนว โดยไม่มีรอยต่อใด ๆ

การปูแผ่น กันซึม PVC membrane ทำได้โดยการเป่าลมร้อนก็จะแนบชิดติดดาดฟ้า

การใช้ประโยชน์ของแผ่นกันซึม PVC membrane คือ ปูรองพื้นเพื่อทำเป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ บนดาดฟ้าได้ เป็นสวนหย่อมปลูกผักก็ได้ ป้องกันรากไม้ได้ดี ทำให้ดาดฟ้าดูมีชีวิตชีวาด้วยสวนหย่อมสวย ๆ ไม่มีดินทรายกระจัดกระจายทั่วดาดฟ้า

สินค้าแนะนำ

          ดาดฟ้าเป็นหนึ่งของอาคารที่เผชิญกับธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบดาดฟ้าบ่อย ๆ เพื่อสำรวจวัสดุกันซึมหากชำรุดหรือเสื่อมสภาพจะส่งผลต่ออาคารได้ง่าย เช่น พบแอ่งน้ำขังทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต้องทำการปรับปรุงพื้นที่โดยด่วน เพื่อไม่ให้น้ำขังจนซึมลงในเนื้อคอนกรีต ต้องปรับองศาพื้นที่ดาดฟ้าให้น้ำระบายลงท่อระบายน้ำให้หมดให้ได้ ตรวจสอบอย่าให้ท่อระบายน้ำมีเศษใบไม้ เศษขยะ เศษฝุ่นที่พัดพามาในอากาศ อุดช่องรูท่อน้ำทิ้ง จะทำให้น้ำฝนขังอยู่บนดาดฟ้าเป็นเวลานานเพิ่มน้ำหนักให้กับโครงสร้างด้วย ทางที่ดีควรป้องกันโดยใช้ถ้วยตะแกรงคว่ำวางบนท่อน้ำทิ้ง ป้องกันสิ่งสกปรกอุดตันกลางท่อ วิธีง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยถนอมวัสดุ กันซึมดาดฟ้า ไม่ส่งผลเสียต่อโครงสร้างอาคารในระยะยาวด้วย

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ชอบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์https://www.wehome.co.th ตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน NOC NOC : 

📞7. มาหาเราสั่งของได้ 074-338-000

ขอบคุณภาพ และข้อมูลเพิ่มเติม :

https://www.wongguru.com

https://www.wazzadu.com/article/5463

เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับการเลือกใช้ลูกบิดประตูให้เหมาะกับบ้านคุณ

          ลูกบิดประตู อุปกรณ์ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้บ้าน และกั้นส่วนของต่างๆ ซึ่งการใช้งานในแต่ละส่วนนั้นจะต้องมีความปลอดภัย และความสะดวกที่แตกต่างกัน โดยลูกบิดประตูสามารถผลิตได้จากวัสดุหลากหลายประเภท เช่น ทองเหลือง ซิงค์อัลลอย สเตนเลส 204 หรือ 304 ที่ทนต่อการเกิดสนิมที่แตกต่างกัน และลูกบิดที่ทำจากเหล็กที่สามารถพบเจอได้กับลูกบิดบ้านสมัยก่อน ซึ่งมีความทนทานต่อการเกิดสนิมที่น้อยที่สุด และมีน้ำหนักมากนั้นเองค่ะ

        นอกจากนี้การเลือกซื้อลูกบิดยังควรคำนึงถึงรูปลักษณ์ และสไตล์ที่เข้ากับการตกแต่งบ้าน เพราะลูกบิดสมัยปัจจุบันมีดีไซน์ที่หลากหลาย กว่าการเลือกแค่สี ทั้งลูกบิด ทรงกลม ทรงรี ทรงเหลี่ยม หรือลูกบิดข้อสับที่สะดวกในการเปิดมากกว่าแบบหมุน โดยลูกบิดประตูสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งาน หรือ ปะเภทการใช้งานได้หลากหลาย ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักวิธีการเลือกใช้ลูกบิดประตูให้เหมาะกับบ้านของคุณ ก็ต้องมารู้จักประเภทของลูกบิดกันก่อนนะคะ

1

ลูกบิดมีกี่ประเภท

มี 2 ประเภท คือ ลูกบิดแบบมีล็อค และ ลูกบิดที่ไม่มีกุญแจล็อค

1.1 ลูกบิดประตูแบบมีล็อค

คือ ลูกบิดชนิดนี้มีมากมายหลายแบบซึ่งเรามักจจะพบเห็นตามท้องตลาด โดยแต่ละแบบจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไปดังนี้ค่ะ

ลูกบิดแบบ Entrance Lock

     คือ ลูกบิดประเภทที่เมื่อกดล็อคประตูจากปุ่มด้านในแล้ว สามารถปลดล็อคโดยใช้กุญแจจากทางด้านนอกได้ หรือทำการบิดลูกบิดด้านในเพื่อปลดล็อคได้ เหมาะสำหรับห้องนอนทั่วไปหรือห้องเก็บของ เพราะลูกบิดชนิดนี้ค่อนข้างให้ความปลอดภัยได้ดี และมีความแข็งแรง

ลูกบิดประตูแบบ Vestibule Lock

     คือ ลูกบิดที่ต้องทำการปลดล็อคด้วยกุญแจด้านนอก และล็อคด้วยกุญแจด้านใน เท่านั้น โดยลูกบิดชนิดนี้จะสามารถ เปิด – ปิด จากด้านในได้ตลอดเวลา

ลูกบิดสำหรับห้องพักโรงแรม

     คือ ห้องพักในโรงแรมเป็นสถานที่ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวอย่างมาก การเลือกใช้ ลูกบิดประตู จึงต้องเลือกชนิดที่ด้านนอกไม่สามารถเปิดได้ หากต้องการเปิดต้องใช้กุญแจไขเท่านั้น และเมื่อเข้าไปแล้วกดปุ่มล็อคจากด้านในต้องไม่สามารถใช้กุญแจเปิดจากภายนอกได้ ยกเว้นกรณีใช้กุญแจฉุกเฉินพิเศษเท่านั้น

สินค้าแนะนำ

- 12%
Original price was: ฿215.00.Current price is: ฿189.00.
- 56%

1.2 ลูกบิดประตูแบบไม่มีกุญแจล็อค

คือ ลูกบิดแบบไม่มีกุญแจล็อค เป็นลูกบิดที่นิยมใช้กั้นห้องที่ไม่จำเป็นจะต้องปิดล็อค มีทั้งหมดดังนี้

ลูกบิดชนิดไม่มีกุญแจล็อค

     คือ ลูกบิดชนิดนี้ทั้งสองด้านสามารถหมุนเปิดออกได้ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะใช้กับประตูที่ไม่ต้องการปิดล็อค

ลูกบิดชนิดเปิดได้ด้านเดียว 

    คือ ลูกบิดชนิดด้านในสามารถเปิดได้ตลอดเวลา โดยด้านนอกจะล็อคตลอดเวลา ใช้สำหรับประตูที่ให้คนออกอย่างเดียวไม่ให้คนด้านนอกเข้ามาด้านใน เช่น ประตูหนีไฟ เป็นต้น

ลูกบิดโรงพยาบาล

     โรงพยาบาลมักจะใช้หลักความปลอดภัยของคนไข้สามารถล็อคได้จากปุ่มด้านใน แต่พอปิดประตูปุ่มจะปลดล็อค และลูกบิดจากด้านนอกก็ยังมีที่ปิด – เปิดในกรณีฉุกเฉิน

สินค้าแนะนำ

- 11%

2

หลักการเลือกซื้อลูกบิดประตู

1.สถานที่ติดตั้ง

         ประตูภายนอก ควรเลือกใช้ลูกบิดที่มีความแข็งแรงทนทาน มีการชุบสีที่ดีไม่หลุดลอกง่าย ถ้าอยู่ติดริมทะเล หรือเขตที่มีความชื้นสูงควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพสูง เพื่อป้องกันการเกิดสนิม เช่น สเตนเลส เกรด 304 จะเกิดสนิมยากที่สุด

2. ลักษณะการใช้งาน

         เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุด ชนิดและความหนาของบานประตู ควรเลือกให้สัมพันธ์กับความหนาของบานประตู เช่น บานไม้ บาน PVC เป็นต้น ความหนาของบานประตูมาตรฐาน คือ 35 มม.

3. ลิ้นสลักนิรภัย

         มีไว้เพื่อป้องกันการงัดแงะจากภายนอก และช่วยให้ลิ้นของลูกบิดไม่สามารถกดให้เปิดได้จากภายนอก

4. การเพิ่มระดับความปลอดภัยให้มากขึ้น ระบบมาสเตอร์คีย์

         ในกรณีมีหลายห้องในความดูแล ควรพิจารณาระบบมาสเตอร์คีย์ เพื่อความสะดวก และความปลอดภัย หลักการเซ็ตระบบ แนะนำให้สั่งโดยตรงจากบริษัทฯ ไม่ซื้อแบบสำเร็จรูป ร่องลูกปืน ลูกบิดที่มีร่องลูกปืนมาก จะทำให้เกิดการสร้างรหัสในการล็อคของลูกบิดมากตามไปด้วย ระบบล็อคของลูกบิด คือ ระบบล็อคแบบการกด มีความสะดวกในการใช้งานแต่ความปลอดภัยน้อยกว่าระบบ Tubular Lock คือ ระบบล็อคแบบบิดล็อค มีความปลอดภัยมากกว่าระบบแรก เนื่องจากต้องทำการล็อคหลังจากประตูปิดล็อคแล้วเท่านั้น ขนาดของจานรอง หากเป็นการซื้อเพื่อเปลี่ยนกับของเดิมควรดูขนาดของจานรอง

3

สาเหตุที่ทำให้ลูกบิดเสีย

เนื่องจากลูกบิดมีส่วนประกอบและกลไกการทำงานที่ค่อนข้างจะซับซ้อน การที่ลูกบิดเสีย ชำรุด หรือใช้งานไม่ได้นั้น อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

⚠ ลิ้นไม่ล็อคจนทำให้สามารถเขี่ยลิ้นได้ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง

⚠ หัวลูกบิดหลุดจากชุดตัวเรือนกุญแจ สาเหตุเกิดจากการถอดหัวลูกบิดในระหว่างการติดตั้งแล้วใส่กลับไม่ได้หรือไม่เข้าล็อก

⚠ ปุ่มกดกดยากหรือลงไม่สุด สาเหตุเพราะเกิดจากลูกบิดเสียรูปทรงทำให้กล่องลิ้นเคลื่อนที่ไม่สุด

⚠ ลูกกุญแจไขไม่ได้ สาเหตุเพราะเกิดจากการสลับลูกกุญแจ

⚠ หัวลูกบิดสีลอก สาเหตุเพราะเกิดจากแลคเกอร์ที่เคลือบสีหลุดลอก ทำให้ผิวชิ้นงานสัมผัสกับฝุ่นละอองและความชื้น

⚠ ลูกบิดที่ใช้นาน ๆ หลวมไม่พอดีกับประตู สาเหตุเกิดจากการหดและบิดตัวของบานประตูหรือเกิดจากการคลายตัวของสกรู

⚠ หัวลูกบิดด้านในหมุนไม่ได้ สาเหตุเกิดจากการหดและบิดตัวของบานประตูหรือเกิดจากการคลายตัวของสกรู

⚠ หัวลูกบิดเป็นคราบดำหรือคราบด่าง สาเหตุอาจจะเกิดจากสารเคมีบางตัวในสารทำความสะอาด เช่น คลอรีน กำมะถัน และแคลเซียม ซึ่งส่วนมากจะเป็นส่วนผสมของสารทำความสะอาดเกือบทุกชนิด

⚠ ลูกกุญแจเสียบลูกยากหรือดึงลูกยาก สาเหตุเกิดจากฟันกุญแจบุบ บิ่น หรือลูกกุญแจบิดงอ

4

วิธีซ่อมลูกบิดประตูเบื้องต้น

เนื่องจากลูกบิดมีส่วนประกอบและกลไกการทำงานที่ค่อนข้างจะซับซ้อน การที่ลูกบิดเสีย ชำรุด หรือใช้งานไม่ได้นั้น อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

1. ลูกบิดค้าง

          วิธีนี้แก้ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไขมือจับลูกบิดออก ถ้าปุ่มล็อคจากด้านในเป็นแบบนูนขึ้น ให้ใช้มือจับปุ่มล็อคให้แน่น กดลง แล้วหมุนปุ่มล็อคขึ้น ถ้าปุ่มล็อคเป็นแบบมีร่องตรงกลาง ให้ใช้นิ้วโป้งกดลงไปให้ตรงร่อง กดให้แน่นแล้วหมุนขึ้น

2. ลูกบิดประตูเปิดไม่ออก

          เมื่อเกิดปัญหาลูกบิดค้าง ประตูจะเปิดไม่ได้เสมือนกับว่าโดนล็อคไว้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในห้องก็ตาม ให้แก้โดยใช้ตะปูหรือเข็มเล็ก ๆ แทงเข้าไปในรูที่อยู่คอลูกบิดด้านในพร้อมกับหมุนลูกบิดไปด้วย เมื่อเปิดประตูได้แล้วให้ถอดมือจับลูกบิดด้านในออก โดยใช้เข็มหรือตะปูแทงรูที่อยู่คอลูกบิด ดึงมือจับออกแล้วฉีดน้ำมันหล่อลื่น หมุนแกนลูกบิดเพื่อให้น้ำมันเข้าทั่วถึง จากนั้นนำมือจับใส่เข้าไปดังเดิม

3. ลูกบิดคลอน

        ให้ลองหมุนฝาครอบลูกบิดด้านนอกให้แน่น ถ้าหมุนจนสุดแล้วแต่ลูกบิดยังคลอนอยู่แสดงว่าสกรูด้านในคลายตัว วิธีซ่อมก็คือให้ถอดมือจับด้านในและฝาครอบออกโดยใช้ตะปูแทงรูเล็ก ๆ บริเวณคอลูกบิดด้านใน ใช้ไขควงขันสกรูด้านในให้แน่น แล้วใส่ฝาครอบและลูกบิดคืนดังเดิม

          เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สำหรับบทความ “เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับการเลือกใช้ลูกบิดประตูให้เหมาะกับบ้านคุณ” เราวีโฮม บิวเดอร์ เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ ได้นำวิธีการเลือกลูกบิดประตู และการแก้ไข้ปัญหาลูกบิดประตูแบบเบื้องต้น มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน และการเลือกลูกบิดประตูเป็นสิ่งที่เราทุกคนก็ทำได้ด้วยตัวเอง เพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านเรา โดยแค่เริ่มต้นจากประตูบ้านของเรา กันนะคะ

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม : https://เว็บนายช่าง.com/เคล็ดลับการเลือกซื้อลู-2/

                                      https://www.kachathailand.com/articles

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ชอบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์https://www.wehome.co.th ตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน NOC NOC : 

📞7. มาหาเราสั่งของได้ 074-338-000

มาทำความรู้จัก แผ่นปิดเชิงชาย หรือ แผ่นกันนก กัน!

เชื่อกันว่า หลายบ้านจะต้องเจอกับพวกนก ที่บินกันตามบริเวณบ้าน และอาจจะได้รับการรบกวนจากพวกนกเหล่านี้ วันนี้ WeHome เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ ได้เข้าใจกับปัญหาเหล่านี้ เราจัดทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ และมาแก้ปัญหาเหล่านี้กัน

แผนกันนก เป็นแผ่นที่เอาไว้กันนกตามชื่อเลย! สำหรับงานหลังคาที่สัตว์กวนใจอยู่บ่อยๆ ก็คือ พวกนก ที่มักจะบินเข้าตามล่องของหลังคาบ้าน เข้าไปทำรัง หรือ ไปอาศัยอยู่ตามร่องหลังคา และบนฝ้าของบ้านเรา ซึ่งพวกนกเหล่านี้มักจะนำพาเชื้อโรค หรือสิ่งสกปรก เข้ามายังบ้านของเรา อย่างจำพวกของเสียของนก เศษอาหาร และเศษขยะที่พวกนกขนมาทำรัง นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสาเหตุที่เราไม่ควรให้นกมายังบ้านของเรา โดยปกติ แผ่นกันนกมักจะเป็นของคู่กัน กับหลังคาที่มีลอนนั้นเอง! แอดมินขออนุญาตเรียกว่า แผ่นปิดเชิงชายนะคะ ^^

แผ่นปิดเชิงชาย เหมาะสำหรับเบื้องหลังคาแบบไหนบ้าง?

โดยปกติ แผ่นปิดเชิงชาย หรือแผ่นกันนก จะใช้กับกระเบื้องหลังคาที่มีลอน เช่น หลังคาคอนกรีด รุ่น ซีแพคโนเนีย หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ และหลังคา เมทัลชีท ชนิดมีลอน

หลังคาคอนกรีต รุ่น ซีแพค โมเนีย

เป็นที่นิยมสำหรับหลังคาทรงปั้นหยา ผลิตมาจากคอนกรีต จึงมีน้ำหนักตัวดี สามารถทนทานต่อการพัดปลิวของแรงลมได้ และคอนกรีตมีความแข็งแรงมากกว่ากระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ แต่มีข้อด้อยคือ ต้องเพิ่มความแข็งแรงกับหลังคาให้มากกว่าเมื่อเทียบกับกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ ซีแพคโมเนีย เป็นกระเบื้องมีที่สีสันสวยงาม ความแปลกใหม่ ไม่เป็นเชื้อรา

หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์

เป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทาน แต่น้ำหนักเบา ไม่มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สะสมความร้อนต่ำ และปลอดภัยจากปลวกและแมลงต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากจะใช้เป็นกระเบื้องหลังคาบ้านได้แล้ว ไฟเบอร์ซีเมนต์ก็ยังเป็นวัสดุที่ใช้กับส่วนอื่น ๆ ของบ้านได้อีกด้วย เช่น ผนัง ฝ้า ไปจนถึงพื้น

หลังคา เมทัลชีท ชนิดมีลอน

เป็นแผ่นเหล็กรีดลอนโลหะผสมระหว่าง อลูมิเนียม และสังกะสี เหมาะสำหรับทั้งงานภายในและภายนอก งานผนัง งานรั้วและงานหลังคา สามารถสั่งผลิตตามขนาดความยาวของหลังคาได้ จึงทำให้เกิดรอยต่อของแผ่นหลังคาน้อย ปัญหารั่วซึมจึงน้อยกว่าหลังคากระเบื้องทั่วไป อีกทั้งยังช่วยให้การติดตั้งหลังคาสามารถดำเนินการได้ไว น้ำหนักเบา จึงช่วยลดต้นทุนค่าแรงก่อสร้างและค่าโครงสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี

ส่วนหลังคาแบบไหนที่ไม่ต้องใส่ แผ่นปิดเชิงชาย ได้แก่

1. หลังคากระเบื้องคอนกรีตแผ่นเรียบ

2. หลังคาเมทัลชัทที่มีฉนวนเป็น PU
(การอัดโฟรมเข้าไป)

3. หลังคาซิงเกอร์รูฟ

แผ่นปิดเชิงชายทำจากวัสดุอะไรบ้าง ?

แผ่นปิดเชิงชาย หรือแผ่นกันนก มักจะทำจาก วัสดุดังนี้

1. ทำจากวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ สำหรับปิดชายคาใต้แผ่นกระเบื้องหลังคา ด้วยรูปทรงของแผ่นไม้ที่เข้ากับรุปลอนของหลังคา ทำให้ปิดได้แนบสนิท ปลอดภัยจากนกที่จะเข้ามาทำรัง หรือสัตว์เล้กต่างๆ ทนแดดทนฝน ไม่เปราะหรือหักง่าย สวยงามด้วยลวดลายไม้สักตลอดทั้งแผ่น

2. ทำจากวัสดุพลาสติก ใช้ปิดเชิงชายบริเวณใต้ทองลอนหลังคา เพื่อป้องกันนกหรือสัตว์ขนาดเล็กไม่ให้เข้าไปภายใต้หลังคา ช่วยระบายความร้อนและความอับชื้นภายใต้หลังคา ขอบด้านบนโค้งตามลักษณะของลอนหลังคา กันนก กันหนู ติดตั่งง่าย สะดวก ประหยัด รวดเร็ด มั่นใจได้ในคุณภาพ โดยคนมักนิยมใช้แบบพลาสติกเพราะติดตั้งง่าย และมีราคาที่ถูกกว่า ไฟเบอร์ซีเมนต์

การติดตั้งแผ่นปิดเชิงชายควรติดตั้งอย่างไร?

ก่อนจะติดตั้งหลังคา เราควรติดตั้งแผ่นปิดเชิงชาย หรือ แผ่นกันนกเสร็จเรียบร้อยแล้วจากนั้นก็สามารถติดตั้งหลังคาได้ และการติดตั้งแผ่นปิดเชิงชาย หรือ แผ่นกันนก แยกตามวัสดุได้ 2 แบบ ดังนี้

แผ่นปิดเชิงชายทำจากไฟเบอร์ซีเมนต์

ติดตั้งเชิงชายตั้งฉากกับจันทันเชิงชาย 1 ชั่น
(15 ซม. หรือ 20 ซม.)

ติดตั้งเชิงชายแนวดิ่งเชิงชาย 1 ชั้น
(15 ซม. หรือ 20 ซม.)

  •  เครื่องมือวัด และปรับระดับเบื้องต้น
  • อุปกรณ์ติดตั้งเสริม
  • เครื่องมือ และอุปกรณ์ตกแต่งปิดรอยต่อ
  •  การติดตั้งเชิงชายทีพีไอ 1 ชั้น (แนวดิงและแนวตั้งฉากกับจันทัน)

ตรวจสอบแนว ระดับและระยะของโครงหลังคาทั้งจันทัน และแป โดยให้ระยะจันทันห่างไม่เกิน 1.00 ม.

ติดตั้งพุกไม้ 1½ นิ้ว x 4นิ้ว ยาว 50 ซม.ทีปลายจันทัน ยึดพุกไม้ด้วยสกรูปลายสว่านมีปีก ขนาด 50 มม.จํานวน 2 ตัว ใช้เส้นเอ็นดึงระยะบน-ล่างพุกไม้เพือตรวจสอบระดับ และระยะปลายจันทันก่อนติดตั้งไม้เชิงชาย

กรณีใช้พุกเหล็ก ให้เชือมเหล็กฉาก 50 x 50 x 2 มม.ความยาว เท่าความสูงของจันทันทีปลายจันทัน ใช้เส้นเอ็นดึงระยะบน-ล่างพุกไม้เพื่อตรวจสอบระดับ และระยะปลายจันทันก่อนติดตั้งเชิงชาย

ติดตั งไม้เชิงชายทีพีไอ โดยให้ยกระดับเชิงชายให้สูงกว่าแป 2.5 ซม. ยึดด้วยสกรู 2 ตัว

หากต้องการต่อไม้เชิงชายสามารถทำได้ 2 วิธี

วิธีที่ 1-1 ต่อไม้เชิงชายบนจันทัน (พุกไม้) ก่อนการต่อไม้เชิงชายให้บากปลายของไม้เชิงชายที่นำมา ต่อกันเป็นมุม 45 องศา ยึดไม้เชิงชายด้วยสกรูดังนี้

พุกไม้ ใช้สกรูเกลียวปล่อยขนาด 1¾” พุกเหล็ก สกรูปลายสว่านมีปีกขนาด 35 มม.

วิธีที่ 1-2 ต่อไม้เชิงชายบนจันทัน (พุกเหล็ก/ แป้นเหล็ก) ก่อนการต่อไม้เชิงชายให้บากปลายของไม้เชิงชายที่นำมา ต่อกัน เป็นมุม 45 องศา ยึดไม้เชิงชายด้วยสกรูดังนี้

พุกไม้ ใช้สกรูเกลียวปล่อยขนาด 1¾” พุกเหล็ก สกรูปลายสว่านมีปีกขนาด 35 มม.

วิธีที่ 2 ต่อไม้เชิงชายบนเชิงชายระหว่างจันทัน โดยใช้ไม้เชิงชายตัดให้ได้ความยาว 30 ซม.
ประกบด้านหลังไม้เชิงชายบริเวณรอยต่อก่อนการต่อไม้เชิงชายให้บากปลายของไม้เชิงชายที่นำมาต่อกัน เป็นมุม 45 องศา ยึดไม้เชิงชายด้วยสกรูดังนี้

พุกไม้ ใช้สกรูเกลียวปล่อยขนาด 1¾”

แผ่นปิดเชิงชายทำจากพลาสติก

ขั้นตอนการติดตั้ง ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน

          แค่นี้ก็ติดตั้งหลังคาตามขั้นของการก่อสร้างบ้านได้แล้ว โดยปกติส่วนของพวกงานหลังคา ก็จะเป็นงานของช่างหลังคาโดยส่วนใหญ่หากช่างจะติดตั้งหลังคา ก็จะติดตั้งแผ่นปิดเชิงชาย เพราะถ้าหากไม่ติดตั้งก็จะก่อให้เกิดปัญหาให้ภายหลังได้ แอดเชื่อว่า หลายๆท่านยังทราบใช่ไหมค่ะ ว่ามีงานนี้อยู่ด้วยเพราะงานนี้ทางเจ้าของบ้านจะต้องตกลงกับช่างก่อนจะจ้าง และต้องถามช่างว่ารวมแผ่นกันนก หรือ แผ่นปิดเชิงชาย ให้ด้วยหรือป่าว! เพราะในส่วนนี้ก็จะมีค่าวัสดุ ค่าติดตั้ง ก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนกับช่างนะคะ

เลือกแผ่นปิดเชิงชายแบบอย่างไร? ให้เหมาะกับบ้านของคุณ?

1. เราควรเช็คชนิดของลอน ว่าบ้านของเราเป็นลอนแบบไหน เพราะกระเบื้องหลังคาแต่ละประเภทมีลักษณะ ระยะห่าง ของแต่ละลอน ไม่เท่ากัน และไม่เหมื่อนกัน ดังนั้น รูปแบบของแผ่นกันนกเพื่อที่จะเข้ากับกระเบื้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญ หากซื้อมาผิดก็จะต้องกลับไปเปลี่ยนใหม่!!

2. หากไม่สามารถรู้ว่า หลังคาบ้านของคุณเป็นลอนอะไร ก็ต้องดูที่ตัววัสดุเป็นหลัก หรือ ควรสามารถปรึกษาช่างใกล้บ้านของท่านก็ได้ นะคะ

สินค้าแนะนำ

เป็นยังไงกันบ้างคะ ลำหรับบทความ มาทำความรู้จัก แผ่นปิดเชิงชาย หรือแผ่นกันนก กัน!!! แอดได้นำความ มาให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจกันง่ายๆแล้วเนี่ย!! เรายังมีแผ่นกันนก ของ SCG มาแนะนำ ด้วย!! นะคะ และนอกจากคุณต้องติดตั้งแผ่นปิดเชิงชายเพื่อไว้กันนก เจ้าตัวก่อปัญหาได้แล้ว เรายังขอแนะนำวิธีทำให้บ้านเย็นด้วยมือของคุณ กับ บทความ ” 4 ขั้นตอน ลดบ้านร้อนด้วยมือคุณ ” กันนะคะ

สามารถสอบถาม และสั่งซื้อได้ที่

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ชอบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์https://www.wehome.co.th ตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน JD CENTRAL : https://www.jd.co.th/shop/pc/27676.html

🛒7. ช้อปผ่าน NOC NOC : 

📞8. มาหาเราสั่งของได้ 074-338-000

เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับการใช้สีเพื่อตกแต่งบ้าน

หลายๆท่านอยากเปลี่ยนบ้านเก่าให้เป็นบ้านใหม่ หรืออยากเป็นห้องเก่า ให้เป็นห้องใหม่ แต่ในหัวยังไม่มีไอเดีย หรือ เลือกไม่ได้ว่าจะเลือกสีไหนดี “สีเดียวก็ดูพน้อยไป หลายสีก็กลัวแมตช์ไม่เข้ากัน วันนี้เรา วีโฮมบิวเดอร์ เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ มี เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับการใช้สีเพื่อตกแต่งบ้าน เพื่อเปลี่ยนลุ๊ค เปลี่ยนมุมมอง ห้องของคุณให้ออกมาดูดี เหมือนมีอินทีเรียมือโปรมาทำให้ มาฝากกัน ลองไปดูกันเลย!!!

1. ทฤษฎี 60-30-10 สัดส่วนง่ายๆ ที่ใช้ได้กันเสมอ

เป็นหลักมาตรฐานการใช้สีเบื้องต้น  ที่ใครๆก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้โดยง่าย ทั้งเจ้าของบ้านมือใหม่หรือนักออกแบบมืออาชีพ การเลือกใช้สีใดสีหนึ่งทาพื้นที่โดยส่วนใหญ่ของห้อง  แล้วตัดด้วยอีกเฉดสีที่เข้มกว่า หรือโดดเด่นกว่า จะช่วยทำให้ห้องดูมีลูกเล่น เกิดเป็นมิติของผนังตกแต่งที่น่าสนใจ  วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ห้องมีสีสัน  แต่ไม่ต้องการความแน่น หรือพื้นที่ของสีที่เต็มพื้นที่มากเกินไป  ในส่วนอีก 10% ของการใช้สี  เราสามารถใช้ได้ทั้งกับขอบคิ้วบัว หน้าต่าง  หรือนำมาเป็นองค์ประกอบของเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง  หมอน ผ้าม่าน ทำให้เกิดการตัดน้ำหนักสี ที่มีจังหวะสวยงาม

การเลือกทาเฉดสีที่ชัดหรือสดบนผนัง 1 ด้าน  ให้หลีกเลี่ยงผนังที่มีหน้าต่าง  หรือผนังที่เฟอร์นิเจอร์บดบัง  เนื่องจากจะทำให้ ความสวยงามของผนังตกแต่ง  ถูกลดความโดดเด่นลง   ควรเลือกผนังที่เต็มผืน  และมีมุมมองสะดุดตา  เช่น ผนังด้านหัวเตียง  ผนังหลังชั้นวางทีวี หรือโถงที่ผู้คนเดินผ่าน  และอาจเสริมของตกแต่งเก๋ๆ  เช่นกรอบรูป  หรือแจกันดอกไม้  โคมไฟ เพื่อให้ดูครบสมบูรณ์และลงตัว

2. เล่นสีเดียวทั้งห้อง ก็สวยได้

วิธีการทาสีแบบใช้สองสี  อ่อนและเข้ม  เป็นที่นิยมในปัจจุบัน  ด้วยสาเหตุที่คนไทยยังไม่กล้ามากนัก  กับประสบสบการณ์การใช้สีสัน  และเพิ่งเริ่มหันเปลี่ยนจากที่เคยใช้สีขาว  สีอ่อน  และสีครีม ในการตกแต่งมาไม่นาน  การทาสีของคนไทย  จึงมักที่จะเลือกสีอ่อนมาช่วยเบรกน้ำหนักในพื้นที่หลัก  เพื่อดึงความรู้สึกให้การเล่นสีในบ้านไม่แสดงออกถึงความชัดเจนเกินไป  เพื่อค่อยๆสร้างความคุ้นเคยในการทดลองใช้สีสัน  … คำว่าทูโทน  จึงกลายมาเป็นรูปแบบยอดฮิต  สำหรับการทาสีบ้าน ทั้งภายในและภายนอกในปัจจุบัน  …

หากลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ   กล้าที่จะใช้สีสันที่ที่เราชอบ  โดยทาสีเดียวทั้งห้องตามแบบการตกแต่งบ้านของชาวตะวันตก  จะทำให้เกิดบรรยากาศของห้องสวยๆ  ที่มีกลิ่นอายอบอวล ไปด้วยศิลปะ  เกิดเป็นสไตล์ที่น่าดึงดูด  ให้ความรู้สึกเต็มตาและอิ่มเอม  โดยที่ไม่ต้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมอีกมากมาย  เพราะสี … ได้กลายเป็นชิ้นงานหลักขององค์ประกอบศิลป์  ที่มีความโดดเด่นชัดเจนอยู่ในตัว

3. ปรับค่าความสว่างของสี ขนาดพื้นที่ก็เปลี่ยนได้

วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่  บ้านหลังใหญ่ๆถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยที่ง่ายๆ   ที่มีการใช้พื้นที่อย่างลงตัว ห้องและบ้าน ถูกจำกัดให้มีขนาดเล็ดลง คอนโดมิเนียมและทาวน์โฮม  เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นมากมาย  สำหรับใครๆ ที่อยากให้ห้องขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่จำกัดนั้น  ดูโปร่ง  โล่ง สบายขึ้น การเลือกใช้สีอ่อน และมีค่าความสว่างที่มากขึ้น จะช่วยสะท้อนแสงให้ห้องดูกว้างและเบาสบายตา  แต่ทั้งนี้บางครั้ง การใช้สีลวงตาเพื่อปรับขนาดของพื้นที่  อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการการตกแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ เฉดสีเก๋ๆ อาจเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า กับการสร้างบรรยากาศที่น่าประใจ  และมีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง

สำหรับพื้นที่ที่ดูกว้าง จนดูไม่มีจุดนำสายตา  การเลือกใช้สีเข้มมาทาบนผนังซักผืน  จะช่วยลวงตาดึงระยะให้เข้ามาใกล้  เกิดเป็นมิติที่ทำให้ห้องดูไม่กว้างใหญ่เกินไปจนเวิ้งว้าง  และยังช่วยเพิ่มความสวยงามสะดุดตาได้อีกด้วย

4. ไอเดียแต่งบ้าน เลือกสีหลังคาก่อน

สำหรับการเลือกสีทาภายนอก  บ้านโดยส่วนใหญ่  มักถูกกำหนดข้อจำกัดของสีหลังคามาก่อนในกระบวนการก่อสร้าง  เนื่องจากงานทาสีอยู่ในขั้นตอนหลังงานโครงสร้าง  เพราะเป็นเรื่องของงานตกแต่ง   บางครั้งเราอาจมีสีในใจที่เราชอบหรือสีที่ถูกโฉลกกับเรา  แต่เราต้องคำนึงด้วยว่า  สีที่เราชอบนั้น  เข้ากันกับสีหลังคาที่ถูกเลือกไว้ก่อนด้วยหรือไม่  เพราะหลังคา  เป็นส่วนประกอบที่มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่และเด่นชัด  เนื่องจากอยู่บนสุดของตัวบ้าน  จึงมีอิทธิพลค่อนข้างมากต่อการเลือกกลุ่มสีที่ควรไปด้วยกันได้

หากเป็นไปได้ ลองหันมาคิดถึงเรื่องสีพร้อมๆกับกระบวนการขึ้นโครงสร้าง  เพื่อที่จะทำลายกรอบข้อจำกัดของสีหลังคา  และนำมาซึ่งสีที่ถูกใจมากที่สุด นอกจากนี้แล้ว  วัสดุตกแต่งอื่นๆ  เช่นอิฐ  ไม้  และกระเบื้อง  เราก็ควรต้องคำนึงถึง  ให้มีโทนสีที่เข้ากันกับตัวบ้านด้วยเช่นกัน

5. ไอเดียแต่งห้องบนอ่อนล่างเข้ม

การวางรูปแบบของสีที่เป็นที่นิยมกับแบบบ้านของคนไทยในปัจจุบัน คือการแบ่งการทาสีเป็นสองชั้น  โดยสีชั้นบนนิยมใช้สีที่อ่อนกว่า  และทาสีชั้นล่างให้มีน้ำหนักที่มากกว่า  เพื่อให้บ้านดูไม่เรียบจนเกินไป  และเกิดมิติของชั้นที่สวยงาม   วิธีนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบ้านชั้นเดียวได้เช่นกัน  โดยทาสีเข้มเป็นฐานของตัวบ้านสูงขึ้นมาประมาณ 1 ฟุต ถึง 1 เมตร การวางรูปแบบของการทาสีลักษณะนี้  เจ้าของบ้านสามารถนำไปออกแบบประยุกต์ใช้ได้ไม่ยากนักด้วยตนเอง  หากเป็นการวางรูปแบบสีตามแนวตั้ง  ก็จัดว่าเป็นอีกรูปแบบที่ดูทันสมัย  เหมาะกับบ้านทรงโมเดริ์นรูปแบบใหม่  แต่อาจต้องอาศัยประสบการณ์การเว้นจังหวะของสีที่ลงตัว

การทาสีเดียวทั้งหลังนั้นก็ไม่ผิด  กลับสร้างบรรยากาศให้บ้านดูมีเอกลักษณ์  และสไตล์ชัดเจนด้วยสีที่เต็มตา  แต่ต้องระมัดระวังการเลือกใช้สี  ที่ควรให้เข้ากับรูปแบบของบ้าน   และควรมีการตัดชอบเชิงชาย  วงกบประตูหน้าต่าง  ด้วยสีที่แตกต่าง  หรืออาจทาสีส่วนตกแต่งผนังไม้เชอร่า   ให้มีความโดดเด่นของน้ำหนักสีที่ต่างไป  นอกจากนี้อาจมีองค์ประกอบของวัสดุอื่นๆเช่นหินธรรมชาติหรือไม้  เข้ามาสร้างจังหวะให้ไม่เรียบจนเกินไป

6. ตัดขอบขาว สวย “ง่าย” แต่ไม่ใช่ สวย “ที่สุด”

หลายๆคนเมื่อเลือกสีหลักของตัวบ้าน  และห้องเรียบร้อยแล้ว  มักเลือกสีขาวมาใช้ในการตัดขอบต่างๆ  เนื่องจากตกแต่งง่าย  ไม่ต้องคิดมาก  และเป็นสีที่เข้าได้กับทุกๆสี  เพราะการเลือกสีให้ห้องและตัวบ้าน  ก็ใช้เวลามากพอแล้ว

สีขาว เป็นสีที่นำมาตัดกับสีต่างๆได้ดูน่ารักและสบายตาก็จริง  แต่หากลองใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกนิด  กับองค์ประกอบของสิ่งเล็กๆ  ลองเปลี่ยนมาเล่นสีกับวงกบและบานหน้าต่าง  ขอบเชิงชายและคิ้วบัว  ด้วยโทนสีที่กลมกลืนแต่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น  หรือด้วยโทนสีที่มีสีสัน  องค์ประกอบเล็กๆ  ก็จะกลับกลายเป็นไฮไลท์งานศิลป์ชิ้นสำคัญ  สร้างเอกลักษณ์สไตล์การตกแต่งที่เพิ่มมิติสีสันความโดดเด่นได้อย่างสวยงาม

“สีขาว มักถูกเลือกใช้บ่อยครั้งในการตัดของบัว คิ้ว หน้าต่างและเชิงชาย

เพราะเข้ากับทุกสีได้โดยง่าย และสบายตา ลองเปลี่ยนความคิด

กล้าที่จะเล่นสี  เพิ่มลูกเล่นให้กับองค์ประกอบเหล่านี้ดูบ้าง

ยากขึ้นอีกเพียงนิด แต่ผลลัพธ์ ได้มาซึ่งความสวยงามโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร”

7. ไอเดียแต่งห้องด้วยแสงต่างชนิด

หลายครั้งที่เราเลือกสีจากพัดสี  แต่เมื่อนำไปทาจริง  กลับรู้สึกว่าแตกต่าง ปัจจัยหนึ่งที่มีผลทำให้เห็นผลลัพธ์เช่นนั้น ก็คือการให้แสงทั้งภายในและภายนอก แสงเป็นปัจจัยสำคัญในการมองเห็นสีที่ถูกต้อง สี เมื่อถูกนำไปทาภายใต้แสงสีส้ม  หรือหลอดไฟแบบมีไส้  หรือหลอดไฟที่ให้ค่าแสงแบบ Day Light  ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น  ก็จะถูกผสมแสงอุ่น  ทำให้สีดูเหลืองหรือส้มขึ้น   ขณะที่ภายใต้แสงขาวอย่างแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์  สีจะถูกทำให้เย็นขึ้น  ด้วยเหตุนี้  การลวงตาของแสง  จึงถูกนำมาใช้ในชั้นวางขายของในซุปเปอร์มาเกต  ชั้นขายเนื้อสัตว์  ถูกจัดให้อยู่ภายใต้แสงอุ่นๆ  เพื่อให้สีของเนื้อสัตว์ดูแดงขึ้น  ขณะที่ผักและผลไม้  ถูกจัดวางให้อยู่ใต้แสงสีขาว  เพื่อทำให้ดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา  การลวงตาของสีกับแสงภายในห้องก็เช่นเดียวกัน

สำหรับแสงธรรมชาติภายนอก  อาคารด้านที่โดนแสง กับด้านที่ไม่โดนแสง  ก็ทำให้เราเห็นน้ำหนักสีที่เข้มอ่อนต่างกัน ทั้งๆที่เป็นสีเดียวกัน ดังนั้นการดูพัดสี  เพื่อให้เห็นค่าสีที่ถูกต้องที่สุด  ควรเลือกดูภายใต้แสงที่เราต้องการใช้จริง หรือหากเป็นการทาสีภายนอก ควรทำความเข้าใจกับแสงธรรมชาติ ที่มีโอกาสทำให้การเห็นค่าสีที่เปลี่ยนแปลงไป

8. ไอเดียแต่งห้องโมโนโทน

หลักการเลือกสีให้สวย  ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับเจ้าของบ้าน  ที่กำลังทดลองเป็นนักออกแบบมือใหม่  วิธีจับคู่สีแบบ  Monotone เป็นวิธีที่ง่าย  และเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด … โดยหากดูจากพัดสี  ให้เลือกจับคู่สีอ่อนและเข้มบนพัดสีที่อยู่แผ่นเดียวกันหรือแผ่นข้างๆกันไม่เกิน 3-4 แผ่น  เนื่องจากเป็นโทนสีที่ใกล้เคียงกัน  และไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของความรู้สึกทางสายตา  โดยคู่สีทั้งสอง  ควรมีสีใดสีหนึ่ง  ที่มีค่าของสีขาวผสมอยู่มากกว่า  หรือมีค่าความสว่างมากกว่า  เพื่อที่จะได้เกิดน้ำหนักที่แตกต่างอย่างชัดเจน  การเลือกสีโทนเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน  ที่มีค่าความสว่างอ่อนเข้มต่างกันนั้น  จะช่วยทำให้บ้านดูกลมกลืน  สบายตา … น้ำหนักของสีแตกต่าง  จะช่วยทำให้เกิดลูกเล่นของการออกแบบที่ทำได้ง่ายๆและสวยงาม   โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งภายในห้องและตัวบ้าน

การเล่นสีแบบหลายๆสี  ที่อยู่คนละกลุ่มโทนกันนั้น  ก็สร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจได้เป็นอย่างดี  แต่เพียงหากต้องอาศัยประสบการณ์  และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ  เพื่อให้การแบ่งจังหวะของเฉดสี  มีการจัดวางที่ลงตัว  ไม่ขัดแย้ง  และรุนแรงเกินไป

9. ผลลัพธ์ของสี ต้องดูเมื่อแห้ง และทา 2 เที่ยว

ผลลัพธ์ของการเห็นเฉดของเนื้อสีที่ถูกต้อง  จะต้องดูตอนที่สีแห้งแล้วเท่านั้น  หากเราทาสีลงไปบนผนัง  และสียังไม่แห้งตัว  อย่าเพิ่งรีบอ่านค่าของสี  ที่ดูแล้วอาจมีความเข้มอ่อนไม่เหมือนกับในพัดสี  เมื่อสีแห้งตัวลง จะให้ผลลัพธ์ต่างกับสีที่ยังมีความชื้นอยู่  และความเจือจางของการผสมน้ำก็มีผลเช่นกัน  หากผสมเจือจางมากไป  สีก็จะใสไม่ขึ้นตัว  เพราะความเจือจาง  ทำให้เนื้อสีกลบสีของผนังพื้นหลังไม่มิด  จึงเกิดค่าของการผสมสีพื้นหลังกับสีที่ทา  ทำให้ค่าของสีผิดเพี้ยนไป  จึงควรผสมน้ำพอลื่นแปรงเท่านั้น

การทาสีให้ครบจำนวนเที่ยวตามคำแนะนำ  ก็มีผลต่อการขึ้นของสีเช่นกัน  หากทาเพียงเที่ยวเดียว  เนื้อสีที่ปรากฏจะยังชัดเจนไม่เพียงพอที่จะปรากฏสีที่แท้จริง  โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ทาสองครั้งหลังจากรองพื้นแล้ว  เพื่อให้เนื้อสีแน่นและกลบทับสีของผนังพื้นผิวเดิมมิด  หรือหากเป็นเฉดสีเข้ม  อาจต้องใช้สีที่อ่อนกว่า 1 ค่า ทาเป็นสีพื้นหลังก่อน  เพื่อที่สีเข้มจะได้ขึ้นสีได้ง่ายขึ้น

10. ดูความสวยงาม และความรู้สึก

สี ไม่ใช่เพียงแต่แสดงลักษณะทางกายภาพ ที่ให้ความสวยงาม แต่หากยังมีผลมากมายต่อการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือพื้นที่สาธารณะ การนำไปตกแต่งร้านค้า ร้านอาหาร ก็มีผลต่อความรู้สึกของผู้เข้าใช้ทั้งสิ้น เพราะสีต่างก็มีความหมายในตัว บางสีที่ดูสวยในช่วงเวลาแรกที่เห็น เมื่ออยู่นานอาจทำให้รู้สึกอึดอัด บางสีที่ดูอบอุ่น แต่หากได้อยู่นานๆ อาจรู้สึกเบื่อ หรือไม่สดใส การค้นหาความรู้สึกของสี ที่มีผลกระทบต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย ซึ่งมีรสนิยมความชอบที่แตกต่างกันไป จึงเป็นตัวแปรที่ต้องนำมาตัดสินใจคู่กัน ห้องบางห้อง อาจเหมาะสำหรับสีที่โดดเด่น เล่นสีสัน แต่ในขณะที่ห้องบางห้อง อาจต้องเลือกใช้สีที่ผ่อนคลาย หรือสร้างสมาธิ ลักษณะการใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึง

  • สีแดงเข้ม – ให้ความรู้สึก ปิติ อิ่มเอิบ อุดมสมบูรณ์
  • สีแดง – ให้ความรู้สึก กระตุ้นเร่งเร้า รุนแรง เร้าใจ มีอำนาจ
  • สีเขียวอ่อน – ให้ความรู้สึก สดชื่น เยือกเย็น มีชีวิตชีวา เจริญงอกงาม เป็นสีแห่งพลัง
  • สีเขียวเข้ม – ให้ความรู้สึก หดหู่ แก่ชรา ถ้าผสมกับสีเทา จะแลดูสลดรันทดใจ
  • สีน้ำเงิน – ให้ความรู้สึก เชื่อมั่น สงบ เข้มแข็ง หนักแน่น สุภาพ จริงจัง
  • สีฟ้า – ให้ความรู้สึก สงบเสงี่ยม เรียบร้อย ประณีต นุ่มนวล
  • สีเขียวเหลือง – ให้ความรู้สึก เจริญงอกงาม กระชุ่มกระชวย เป็นหนุ่มเป็นสาว
  • สีเหลือง – ให้ความรู้สึก สว่างสดใส ร่าเริง สดชื่น เปล่งประกาย
  • สีเหลืองอ่อน – ให้ความรู้สึก อ่อนเพลีย หมดหวัง
  • สีส้ม – ให้ความรู้สึก เกิดพลัง ตื่นเต้นเร้าใจ สนุกสนาน กระปรี้กระเปร่า
  • สีชมพู – ให้ความรู้สึก แจ่มใส รุ่งเรือง สมหวัง งดงามเรียบร้อย
  • สีม่วง -ให้ความรู้สึก สงบเงียบ โศกเศร้า ลี้ลับ แปลก ไม่เชื่อมั่น
  • สีดำ -ให้ความรู้สึก ว่างเปล่า มืดมน น่าค้นหา เป็นสีแห่งความลี้ลับ
  • สีขาว -ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ เบิกบาน เยือกเย็น
  • สีเทา -ให้ความรู้สึก สงบนิ่งเฉย ราบเรียบเข้าได้กับทุกสี
  • สีน้ำตาล -ให้ความรู้สึก เงียบขรึม เก่าแก่ หนักแน่น
  • สีทอง – สีเงิน ให้ความรู้สึก มั่นคงถาวร แวววาว โปร่งใส

สินค้าแนะนำ

- 68%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿528.00.Current price is: ฿169.00.
- 68%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿528.00.Current price is: ฿169.00.
- 68%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿528.00.Current price is: ฿169.00.
- 68%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿528.00.Current price is: ฿169.00.
- 58%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿398.00.Current price is: ฿169.00.
สินค้าหมดแล้ว
- 3%
Original price was: ฿1,395.00.Current price is: ฿1,350.00.
- 4%
Original price was: ฿2,161.00.Current price is: ฿2,069.00.
- 4%
- 3%
Original price was: ฿2,313.00.Current price is: ฿2,233.00.
- 6%
- 3%

เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับ “เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับการใช้สีเพื่อตกแต่งบ้าน” ในการเลือกสีของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทฤษฎี 60-30-10 หรือ การดูจากหลังคา เคล็ดลับเหล่านี้ ทุกท่านสามารถนำไปใช้กันได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็น การตกแต่งบ้าน การรีโมเวทบ้าน หรือ การเปลี่ยนสีบ้านใหม่ การเปลี่ยน หรือตกแต่งบ้านบ่อยๆมันจะเป็นการดี ต่อความรู้สึก เพราะ การเปลี่ยนมุมมอง มักจะทำให้ความคิดของเราไหลลื่นได้ง่ายๆ เป็นการทำให้บ้านของเราดูไม่น่าเบื่อ หรือ ดูหน้ามองกันเลย!! 

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ชอบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์https://www.wehome.co.thตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน JD CENTRAL : https://www.jd.co.th/shop/pc/27676.html

🛒7. ช้อปผ่าน NOC NOC : 

📞8. มาหาเราสั่งของได้ 074-338-000

4 เทคนิคการเลือกใช้งานปั้มน้ำ และถังเก็บน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ

B 24 เทคนิคการเลือกใช้งานปั๊มน้ำ และถังเก็บน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ

B 24 เทคนิคการเลือกใช้งานปั๊มน้ำ และถังเก็บน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ

การเลือกใช้ปั้มน้ำและถังเก็บน้ำให้เหมาะกับการใช้งานของคอนมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวหรือบ้าน2ชั้น ที่ทุกบ้านพบเจออยู่บ่อยครั้งหรือหลายครั้งที่ใช้น้ำพร้อมๆกันทั้งบ้านมีคำถามแก้ไข้ปัญหาเหล่านี้รวมถึงการเลือกใช้ปั้มน้ำที่เหมาะกับบ้านของคุณวันนี้ วีโฮม เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ ติดตามเคล็ดลับในปั้มน้ำและถังเก็บน้ำสำหรับใช้งานในบ้านของคุณได้เลย นะคะ

เทคนิคที่ 1 วิธีในการเลือกปั้มน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ?

1. การเลือกกำลังวัตต์ปั้มน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งาน

          หลายท่าคิดว่าการเลือกปั้มน้ำต้องเลือกที่กำลังวัตต์สูง ๆ ไว้ก่อน ซึ่งแรงวัตต์สูงนั้นดีแต่ถ้าเกินความจำเป็นสำหรับบ้านที่มีจุดใช้น้ำน้อย ก่อนทำการตัดสินใจซื้อจึงต้องศึกษาคุณสมบัติของปั้มน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นหลัก โดยพิจารณาจากปริมาณการใช้งานต่อวัน, จุดที่ใช้น้ำในบ้านและนอกบ้านทั้งหมดมีกี่จุด, โอกาสและช่วงเวลาที่ใช้พร้อมกัน ประกอบกับความสูงของอาคาร แล้วค่อยติดสินใจในการเลือกซื้อ

2. ฟังก์ชั่นปรับแรงดันน้ำอัตโนมัติ

ปั้มน้ำอัตโนมัติมีหลัก ๆ 2 ประเภท คือ ปั้มชนิดถังแรงดัน และปั้มชนิดแรงดันคงที่ ทั้งสองแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้

ปั้มน้ำชนิดถังแรงดัน   เป็นปั้มน้ำทรงกระบอก การทำงานของปั้มน้ำชนิดนี้จะใช้หลักการให้น้ำไปแทนที่อากาศ เพื่อใช้แรงดันของอากาศในปั้มดันน้ำออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ปั้มน้ำชนิดนี้จะทนทาน ราคาถูก และอะไหล่หาง่าย แต่แรงดันน้ำจะไม่สม่ำเสมอ หากเปิดใช้งานพร้อมกันความแรงของน้ำแต่ละจุดอาจจะไม่เท่ากัน ปั้มน้ำตัดการทำงานบ่อย ทำให้ต้องไล่เช็กลมและปล่อยน้ำอยู่เสมอ

ปั้มน้ำชนิดแรงดันคงที่   เป็นปั้มน้ำทรงเหลี่ยม รูปร่างค่อนข้างสวยงามและทันสมัย การทำงานจะให้แรงดันน้ำสม่ำเสมอ หากรุ่นที่มีราคาสูงจะมีฟังก์ชั่นควบคุมน้ำอัจฉริยะ สามารถตรวจสอบแรงดันน้ำที่เปลี่ยนแปลงแบบอัตโนมัติ หรือตั้งแรงดันได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับบ้านที่มีการใช้น้ำหลายจุด และอุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันน้ำคงที่ เช่น เครื่องซักผ้า, เครื่องทำน้ำอุ่น และ Rain shower ข้อดีของปั้มน้ำชนิดนี้คือ แรงดันน้ำคงที่ เสียงเบา ขนาดไม่ใหญ่ และประหยัดไฟฟ้ากว่า แต่แน่นอนว่าราคาค่อนข้างสูง

3. วัสดุของตัวถังของปั้มน้ำ

          ปั้มน้ำเป็นอุปกรณ์ที่มักติดตั้งไว้ระดับพื้น มักได้รับผลกระทบจากแสงแดด ลมและฝน หากตัวถังผลิตจากวัสดุไม่มีคุณภาพจะทำให้ผุกร่อนง่ายและเกิดปัญหาถังรั่วตามรอยตะเข็บ อย่าลืมมองหารุ่นที่ตัวถังผลิตจากวัสดุที่มีความทนทาน ไม่เป็นสนิมหรือออกแบบไร้รอยเชื่อมต่อ เพื่อป้องกันการรั่วซึมตามตะเข็บ ทั้งนี้ควรเลือกปั้มน้ำที่มีคุณสมบัติระบายความร้อนได้ดี เพื่อยืดอายุการใช้งานของตัวมอเตอร์ ซึ่งในบางรุ่นจะมีพัดลมระบายความร้อนในเครื่อง แต่ปั้มน้ำอัตโนมัติบางรุ่นได้ออกแบบการระบายความร้อนด้วยน้ำหรือใช้มอเตอร์แบบแม่เหล็กถาวร จึงไม่จำเป็นต้องมีพัดลมระบายความร้อน

4. ควรมีระบบตรวจสอบความผิดปกติของน้ำ

          เครื่องปั้มน้ำที่ดีควรมีเครื่องหมาย มอก. รับรอง พร้อมเทคโนโลยีระบบตรวจสอบความผิดปกติและตัดการทำงานอัตโนมัติ อาทิ การป้องกันแรงดันเกินจากท่อประปาที่ส่งน้ำมาแรงเกิน มีเซนเซอร์แจ้งเตือนกรณีน้ำแห้งหรือน้ำขาด (Dry-running protection) และกรณีท่อรั่ว ปิดวาล์วน้ำไม่สนิท ปั้มน้ำจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนหน้าตัวเครื่อง พร้อมกับปิดการทำงานให้อัตโนมัติ เพื่อป้องกันด้านความปลอดภัยและแจ้งให้ผู้ใช้ทราบได้ว่ามีจุดรั่วไหล

5. ปั้มน้ำเสียงเงียบหลับสบายไม่สะดุ้งกลางดึก

          ปั้มน้ำทั่วไปจะมีเสียงดังทุกครั้งที่มีการเปิดใช้น้ำ ระดับเสียงจะอยู่ที่ 50-60 เดซิเบล ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกาย แต่อาจรบกวนสุขภาพจิตของคนในบ้านและเพื่อนบ้านได้ แนะนำให้มองหาปั้มน้ำอัตโนมัติระบบ Inverter ที่นอกจากช่วยประหยัดค่าไฟแล้ว การทำงานยังเงียบ บางรุ่นมีระดับเสียงเท่า ๆ กับที่เราคุยกันปกติหรือประมาณ 45 เดซิเบล ช่วยลดมลพิษทางเสียงไปได้ค่อนข้างมากเลย

เทคนิคที่ 2 การเลือกปั้มน้ำมีกี่ แบบ มีอะไรบ้าง?

          ปั้มน้ำที่เราใช้ กันมีหลากหลายแบบ มาก จนเราที่เป็นเจ้าบ้าน เลือกใช้ไม่ถูกกันเลย และยังมีหลากหลายแบรนด์ หลายยี่ห้อสินค้า ให้เลือก “พูดถึงยี่ห้อ ก็แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกใช้ตามที่ช่างแนะนำ หรือ จะเลือกซื้อตามความชอบก็ย้อมได้” ในรูปแบบ ของปั้มน้ำมี กี่แบบ กี่ประเภท ไปดู กัน

1. ปั้มน้ำอัตโนมัติ

เป็นปั้มน้ำที่มีขนาด ตั้งแต่ 100-400 วัตต์ บ้านที่มีสมาชิก 2-3 คน ควรเลือกใช้ ปั้มน้ำสำหรับ 100–150 วัตต์ ในขณะที่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ควรเลือกใช้แบบ 400 วัตต์ ปัจจุบันจะมีปั้มน้ำอัตโนมัติแบบพิเศษ ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า

2. ปั้มน้ำกึ่งอัตโนมัติ

          คุณสมบัติคล้ายปั้มแบบอัตโนมัติ แต่การใช้งานแตกต่างกันตรงที่ต้องเปิดและปิดสวิตช์ หรือเสียบปลั๊กและถอดปลั๊กใช้งานด้วยตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาด เพราะเจ้าของบ้านส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปมากกว่า

3. ปั้มหอยโข่ง

          เหมาะกับการดึงน้ำมาเก็บใส่ถัง เช่นในการฟาร์มเกษตร หรือดึงน้ำขึ้นไปใช้บนอาคารสูงๆ อย่างสำนักงานหรือออฟฟิศ ด้วยคุณสมบัติปั้มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ

4. ปั้มน้ำอินเวอร์เตอร์

          มีการใช้ไมโครโพรเซสเซอร์มาช่วยควบคุมการทำงาน สามารถควบคุมการหมุนของมอเตอร์ได้ตามปริมาณการใช้น้ำจริง ทำให้สามารถควบคุมการจ่ายน้ำได้ดี ประหยัดไฟ การจ่ายน้ำแรงสม่ำเสมอ สามารถจ่ายน้ำได้ทั่วบ้าน แต่มีข้อเสียคือมีราคาแพงกว่าปั้มน้ำแบบอื่น 2-3 เท่าตัว

นอกจากนี้ เลือกปั้มน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งาน เป็น 1 วิธี ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในบ้านของคุณได้

  • สำหรับบ้านแบบทาวเฮาส์ 2 ชั้น อาจมีห้องน้ำ 2-3 ห้อง อาจเลือกใช้ปั้มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอสำหรับ
  • สำหรับบ้านเดี่ยวแนะนำให้ใช้ปั้มขนาด 200–250 วัตต์ ซึ่งจะทำให้เปิดน้ำใช้พร้อมกันได้ถึง5-6 จุด โดยไม่มีปัญหา

แนะนำสินค้าปั้มน้ำ

- 10%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿8,134.00.Current price is: ฿7,280.00.
- 11%
สินค้าหมดแล้ว
Original price was: ฿6,588.00.Current price is: ฿5,870.00.

เทคนิคที่ 3 การเลือกถังเก็บน้ำใช้ในบ้าน ควรเลือกอย่างไร?

สำหรับขนาดของถังเก็บน้ำในบ้านพักอาศัย ต้องเลือกขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานของคนในบ้าน โดยอ้างอิงจากสถิติความต้องการใช้น้ำเฉลี่ยปริมาณ 200 ลิตรต่อคน สำหรับสำรองน้ำใช้ใน 1 วัน

วิธีการคำนวณ  นำจำนวนคนภายในบ้าน x 200 (ลิตร) x จำนวนวัน จะได้ปริมาณน้ำที่จะใช้ ภายในในบ้าน ตัวอย่าง เช่น ในบ้านที่มีสมาชิก 4 คน ให้เราคิดคำนวณ 4 x 200 = 800 ลิตรต่อวัน และควรเผื่อฉุกเฉิน 2-3 วัน ดังนั้นถังน้ำสำหรับครอบครัว 4 คน จึงควรมีขนาด 1,500 – 2,500 ลิตร

อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำของแต่ละคนไม่เท่ากันตามกิจกรรมที่แตกต่างกัน โดยอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 200 ลิตรต่อวันได้ การเลือกขนาดความจุของถังเก็บน้ำตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว สามารถเริ่มต้นสำรองให้เพียงพอใช้ได้ใน 1 วัน ดังนี้

  1. จำนวนผู้ใช้น้ำ 4 คน เลือกถังเก็บน้ำความจุ 800 ลิตร
  2. จำนวนผู้ใช้น้ำ 5 คน เลือกถังเก็บน้ำความจุ 1,000 ลิตร
  3. จำนวนผู้ใช้น้ำ 6 คน เลือกถังเก็บน้ำความจุ 1,200 ลิตร
  4. จำนวนผู้ใช้น้ำ 7-8 คน เลือกถังเก็บน้ำความจุ 1,600 ลิตร
  5. จำนวนผู้ใช้น้ำ 9-10 คน เลือกถังเก็บน้ำความจุ 2,000 ลิตร

1. การเลือกถังเก็บน้ำที่ดี แค่เราคำนึงถึง ความคงทน แข็งแรง และมีคุณภาพที่ดี โดยดูจะแบรนด์ และยี่ห้อ ที่คนนิยมใช้กัน เช่น WAVE Dos และยี่ห้ออื่นๆ หากคุณ ต้องการ เลือกซื้อถังเก็บน้ำด้วยตนเอง เราได้นำเทคนิคในการเลือกมาให้คุณได้อ่านกัน ได้แก่

2. ควรเลือกถังเก็บน้ำที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ปราศจากการปนเปื้อนของสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนัก

3. ควรเลือกถังเก็บน้ำที่ผลิตจากวัสดุไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หรือ Food Grade

4. ควรเลือกถังเก็บน้ำที่ใช้เทคโนโลยี Compounding หรือการใช้ความร้อน แรงดันบีบอัดสีให้เป็นเนื้อเดียวกันกับเม็ดพลาสติก ทำให้สีไม่หลุดร่อนปนเปื้อนกับน้ำ

5. ควรเลือกถังเก็บน้ำแบบทึบแสง ที่สามารถป้องกันตะไคร่น้ำ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารและโรคผิวหนัง

แนะนำถังเก็บน้ำ

เทคนิคที่ 4 ก่อนติดตั้งปั้มน้ำควรทำอย่างไร?

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มจากการเตรียมพื้นที่เพื่อติดตั้งปั้มน้ำเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการเลือกที่ติดตั้งปั้มน้ำจะส่งผลให้ปั้มทำงานดีและการใช้งานยาวนานได้นานยิ่งขึ้น ปกติแล้วช่างหรือผู้ติดตั้งจะเลือกที่ใต้ชายคาบ้านที่ไม่มีน้ำท่วมขัง ปั้มน้ำเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน ไม่ควรติดตั้งชิดผนัง และต้องห่างจากกำแพงอย่างน้อย 15 เซนติเมตร

ขั้นตอนที่ 2 ก่อนการติดตั้งปั้มน้ำต้องต่อท่อน้ำประปาจ่ายน้ำเข้าในถังเก็บน้ำก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยต่อปั้มกับถังเก็บน้ำจากนั้นก็ต่อท่อเข้ายังบ้านของเราได้ เลย

 

 ห้ามต่อเครื่องสูบน้ำตรงกับท่อประปาะเพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว การที่เรานำน้ำประปามาใช้เฉพาะบ้านตนเองจะส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านจะทำให้เพื่อนบ้านได้รับปริมาณน้ำน้อยลงและอาจส่งผลต่อระบบท่อน้ำภายในบ้านเราเองด้วย

เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับบทความ “4 เทคนิคการเลือกใช้งานปั้มน้ำ และถังเก็บน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ” เราได้จำประเภทของเครื่องปั้มน้ำ มาให้คุณรู้จัก และมีหลักการเลือกซื้อถังน้ำให้เหมาะกับบ้านคุณ โดยการ คำนวณ จำนวนคนภายในบ้าน เพื่อให้คุณได้ใช้น้ำ อย่างเหมาะสม และ ประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

หากท่านใด สนใจถังเก็บน้ำ แล้วปั้มน้ำ ก็สามารถมาเลือกซื้อที่ WeHome By wanawat หรือสั่งผ่านfacebook fanpage : วีโฮม WeHome เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ เรามีแอดมินที่จะคอยตอบปัญหาให้กับคุณ เพราะเรามีผู้เชียวชาญที่สามารถตอบปัญหาเรื่องปั้มน้ำ และถังเก็บน้ำได้…


สามารถเข้าใช้ช่องทางอื่นๆ ได้ที่

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ชอบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์https://www.wehome.co.thตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน JD CENTRAL : https://www.jd.co.th/shop/pc/27676.html

🛒7. ช้อปผ่าน NOC NOC :

📞8. มาหาเราสั่งของได้ 074-338-000

ดอกสว่านแบบไหนควรใช้กับผนังอะไร

ดอกสว่าน เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในเครื่องมือช่างที่ต้องมี ใช้ทำหน้าที่กัดเจาะเนื้อวัสดุต่าง ๆ ออกมาเป็นรู เพื่อที่เราจะได้ใช้รูในการจับยึด หรือ ตอกตะปู หรือ ใส่พุก เพื่อขันน็อตหรือสกรู ยึดน็อตได้สะดวก มีหลายแบบให้เลือกใช้มากมายหลายขนาด พัฒนาตามวัตถุประสงค์ของงาน หรือวัสดุที่ต้องการเจาะรู ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก ปูน หรืองานคอนกรีต เรามาทำความรู้จักกับ ดอกสว่าน ว่ามีกี่แบบ และใช้งานอย่างไรบ้าง

ดอกสว่านมีหลายองค์ ประกอบ อะไรบ้าง ?

  1. ความยาวร่องคลายเศษ เป็นส่วนของดอกสว่าน สำหรับคลายเศษวัสดุที่ทำการตัดออกมาตามร่องของเศษดอกสว่าน ยิ่งดอกสว่านมีขนาดของร่องคลายเศษใหญ่แค่ไหน จะเพิ่มประสิทธิภาพคมตัดได้มากขึ้น
  2. ความยาวดอกสว่าน วัดจากขอบดอกสว่านด้านนอกไปจนถึงขอบดอกสว่านด้านนอกอีกด้านหนึ่ง
  3. คมตัด คือ ส่วนที่มีความคม 2 ด้าม ใช้เจาะวัสดุ ทำงานเป็นเกลียวหมุนข้าง-ออกได้ตามการปรับสว่าน และดอกสว่านที่มีความคม 2 ด้าน
  4. มุมจิก มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ที่ทำมุมให้มีความแหลม โดยส่วนที่มีความแหลมจะจิกเข้ากับวัสดุ และทำการหมุนเป็นเกลียว มุมจิกของดอกสว่านแต่ละประเภท จะมีมุมที่ต่างกัน
  5. ก้านดอกสว่าน คือ ส่วนที่ยืดกับหัวสว่าน ให้แข็งแรง มั่นคง ก้านดอกสว่านมีรูปทรงแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากได้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
    1. ก้านตรง เป็นดอกสว่านที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 16 มิลลิเมตร
    2. ก้านเรียว มีดอกสว่านตั้งแต่ขนาดเล็ก จนถึง ขนาดใหญ่  เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 52 มิลลิเมตร
  6. เส้นผ่านศูนย์กลางของดอกสว่าน เป็นส่วนที่บอกถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกสว่าน
  7. การเคลือบดอกสว่าน ดอกสว่านที่ต้องการความแข็งแรง ประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น จำเป็นต้องมีการเคลือบปลายดอกสว่านด้วย

ประเภทของดอกสว่าน มีอะไรบ้าง?

โดยทั่วไป เราสามารถแยกประเภทตามลักษณะ การนำไปใช้งานอย่างง่าย ๆ ได้ ดังนี้

ดอกสว่าน เจาะไม้

ลักษณะปลายดอก คล้ายหางปลา ใช้สำหรับเจาะไม้ที่มีขนาดไม่กว้างนัก ขนาดที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ ขนาด 5, 6, 8 หรือ 10 มิลลิเมตร ใช้เจาะรู เพื่อใส่บานพับเหล็กบนประตู-หน้าต่าง หรือเจาะรู เพื่อร้อยสายไฟต่าง ๆ หรือตอกหมุน เพื่อการจับยึดไม้เข้าด้วยกัน

ดอกสว่านเจาะเหล็ก

ลักษณะของดอกสว่านเป็นร่องเกลียวตัด ปลายดอกแหลม ใช้สำหรับจิกนำศูนย์ เจาะได้ตรง เพราะดอกสว่านิทำจากเหล็กกล้าไฮสปีด จึงสามารถนำมาใช้เจาะชิ้นงานหลากหลาย โดยดอกสว่านเจาะเหล็ก จะแบ่งตามชนิด ได้แก่

  1. ดอกสว่านชุบดำ เป็นเเบบที่ใช้งานทั่วไป เจาะไม้ เจาะเหล็กได้ เเต่จะค่อยไม่เเข็งเเรง เเตกหักง่าย หากเจาะวัสดุที่มีความเเข็งมาก
  2. ดอกสว่านไฮสปีด ใช้งานเจาะทั่วไป เจาะเหล็ก เจาะไม้ วัสดุเนื้อเเข็ง เป็นดอกที่มีความทนทานมากกว่าดอกสว่านเเบบชุบดำ
  3. ดอกสว่านไฮสปีดเคลือบไทเทเนียม จะเป็นดอกสีทอง ใช้งานได้ดีกว่าดอกไฮสปีดทั่วไป ทนความร้อนได้ดีกว่า อายุการใช้งานนานกว่า
  4. ดอกสว่านเจาะสแตนเลส มีความเที่ยงตรง และความคงทนสูง ตัวดอกสว่านเคลือบ COBALT เพื่อทนการเสียดสีและความร้อนทำให้อายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งดอกสว่านไฮสปีดเเบบธรรมดาจะเจาะสเเตนเลสไม่เข้า
  5. ดอกสว่านทรงเจดีย์ ใช้เจาะไม้ เจาะเหล็กหนาได้ตามขนาดความสูงของชั้นดอกเจาะ ใช้เจาะทำฉาก ทำชั้นวาง เจาะพลาสติก อะลูมิเนียม ชุบไทเทเทียมเพิ่มอายุการใช้งาน
  6.  ดอกโฮลซอว์เจาะเหล็ก เป็นดอกสว่านที่ใช้เจาะรูขนาดใหญ่กว่าดอกสว่านธรรมดา ลักษณะคล้ายกับดอกโฮลซอล์เจาะไม้ ใช้ได้กับสว่านเเท่นเเละสว่านไฟฟ้า

ดอกสว่านเจาะคอนกรีต

ลักษณะของดอกสว่าน เป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกเป็นเหล็กกล้าคาร์ไบด์ ปลายดอกออกแบบ รูปทรงเจดีย์ เพื่อลดการหนีศูนย์ เหมาะสำหรับการเจาะปูน คอนกรีต ซีเมนต์บล็อก หรืออิฐมอญ แบ่งตามชนิด ดังนี้

  1. ดอกสว่านเจาะคอนกรีตก้านกลม เหมาะกับการเจาะรูสำหรับติดตั้งตัวยึดทั่วไป เช่น พุกเหล็ก พุกพลาสติก เป็นดอกสว่านที่ใช้กับสว่านกระเเทกได้ทุกรุ่น หัวดอกเป็นทังสเตนคาร์ไบด์คุณภาพดี มีคมตัดทั้งสองด้าน
  2. ดอกสว่านโรตารี่ ดอกสว่านนี้สามารถเจาะคอนกรีตได้อย่างทะลุทะลวง คอนกรีตเสริมเหล็ก แผ่นตระแกรงเหล็ก หรือหินที่แข็งแกร่ง หัว 4 เขี้ยวผลิตจาก คาร์ไบร์เกรดสูงสุด ทำให้การเจาะแม่นยำง่ายดาย ใช้ได้ยาวนาน และเจาะเป็นวงกลมได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
  3. ดอกสว่านโฮลซอว์เจาะคอนกรีต มีลักษณะเป็นทรงกระบอก มีเเกนสำหรับเจาะนำศูนย์ ใช้สำหรับเจาะปูน และคอนกรีต เพื่อให้ท่อหรือวัสดุต่าง ๆ ลอดผ่านรูไปได้ใช้ร่วมกับสว่านโรตารี่

ทำไมต้องเลือกประเภทของดอกสว่าน?

การเลือกประเภทของดอกสว่านในงานเจาะรู มีผลต่อการอุปกรณ์ที่ใช้ทำงาน ทั้งขนาดของอุปกรณ์ ความลึกของรูที่ต้องการเจาะ วัสดุที่จะถูกนำมาเจาะรู รวมถึงอายุการใช้งาน เพราะดอกสว่าน ทำมาจากวัสดุแข็งหลากหลายชนิด ซึ่งมีผลต่อความทนทาน จึงควรจะเลือกดอกสว่าน ให้ถูกต้องตามประเภทการใช้งานด้วย

คำแนะนำการใช้งานทั่วไปที่ถูกต้อง
  • ก่อนการเจาะรูทุกครั้ง ตรวจปลายดอกสว่านทุกครั้ง ถ้าไม่คม ต้องทำการลับดอกสว่านใหม่ เพราะถ้ายังฝืนเจาะต่อไป อาจทำให้ดอกสว่านร้อน และหักได้ หากต้องการเจาะชิ้นงาน ที่ต้องการความแม่นยำสูง ควรใช้เหล็กนำศูนย์ ตอกนำเสียก่อนตรงตำแหน่งที่จะเจาะรู ตอกให้เป็นรอยบุ๋มเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้ปลายดอกสว่าน สามารถกินเนื้องานตรงกับจุดที่เราต้องการ ไม่กระโดดหนีศูนย์ออกไป และต้องยึดชิ้นงานให้ติดแน่นอยู่กับที่ด้วยแท่นยึดด้วย
  • ควรขันดอกสว่านให้แน่นทุกครั้ง ด้วยกุญแจขันหัวสว่าน ก่อนการใช้งาน เพราะถ้าดอกสว่านหลวม อาจทำให้หลุดกระเด็นออกมา หรือเจาะไม่เข้าได้ และควรเปิดเช็คสวิตช์ให้สว่านหมุน เพื่อดูว่า ปลายดอกสว่านหมุนแกว่งหรือไม่ ถ้าดอกสว่านแกว่งไปมา แสดงว่าเสียศูนย์ ให้คลายดอกสว่านออก แล้วขันเข้าไปใหม่
  • ควรสวมแว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันผงฝุ่นที่เกิดจากการเจาะ รวมทั้งเศษวัสดุต่าง ๆ จากชิ้นงาน ซึ่งอาจกระเด็นมาเข้าตาได้ และควรแต่งกายให้รัดกุ และเมื่อเลิกใช้งานแล้ว ให้ถอดดอกสว่านออกมา เพื่อทำความสะอาด ก่อนนำไปเก็บเข้าที่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  :  https://www.kachathailand.com

3 ขั้นตอน การเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม

3 ขั้นตอนการเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม
3 ขั้นตอนการเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม

ก่อนที่เราจะ เลือกซื้ออุปกรณ์งานเชื่อม เรามาทำความรู้จัก กับคำว่า การเชื่อมกันก่อนเลย ซึ่งการเชื่อมเป็นกระบวนการที่ใช้สำหรับต่อโลหะเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดเชื่อมเพื่อใช้ในการต่อเชื่อมชิ้นงานได้ ในส่วนของเครื่องเชื่อม คือเครื่องผลิตกระแสไฟเชื่อม เพื่อใช้ในการเชื่อมประสานชิ้นงานเข้าด้วยกัน

เราจึงควรเลือกเครื่องเชื่อมให้เหมาะสมกับลักษณะของงานเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยการเลือกใช้เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแต่ละชนิด ที่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านคุณสมบัติของการใช้งาน และ คุณภาพของชิ้นงานเชื่อม

เมนูหลัก

เมนูหลัก

ขั้นตอนที่ 1 เลือกอุปกรณ์ “ตู้เชื่อม”

การเลือกตู้เชื่อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่างผู้ใช้งานจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัสดุ ความหนาของชิ้นงาน และอุปกรณ์การเชื่อมไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เครื่องเชื่อมไฟฟ้าที่นิยมใช้ในท้องตลาดมี 4 ประเภท ดังนี้

1. เครื่องเชื่อม MMA (Manual Metal Arc Welding)

เครื่องเชื่อม MMA
คลิกเพิ่มเติม

เครื่องเชื่อม MMA (Manual Metal Arc Welding หรือ SMAW) หรือเครื่องเชื่อมอินเวอร์เตอร์ เป็นการเชื่อมอาร์คโลหะด้วยมือ เป็นกระบวนการโลหะให้ติดกันโดยใช้ความร้อนที่เกิดจากการอาร์คระหว่างลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Electrode)กับชิ้นงาน ซึ่งเครื่องเชื่อมประเภทนี้ได้รับความนิยมเพราะเคลื่อนย้ายได้ง่ายและเหมาะสำหรับช่างมือใหม่หรือผู้ที่สนใจงานเชื่อมที่ต้องการเรียนรู้วิธีการเชื่อมโลหะ สามารถใช้เชื่อมเหล็ก สแตนเลส และอลูมิเนียม

ตู้เชื่อมอินเวอร์เตอร์บางรุ่นอาจเชื่อมอลูมิเนียมได้ ถ้าเป็นเครื่องที่มีกระแสเชื่อมสูงประมาณ 200 แอมป์ขึ้นไป การเชื่อมไฟฟ้าควรเลือกใช้ลวดเชื่อม และปรับกระแสเชื่อมให้เหมาะสมกับงานเชื่อมแต่ละชนิด ตู้เชื่อมอินเวอร์เตอร์เป็นที่นิยมใช้งานในปัจจุบันมากกว่าตู้เชื่อมระบบหม้อแปลงไฟฟ้า ที่มีน้ำหนักมาก และเคลื่อนย้ายลำบาก

ข้อดี

– เชื่อมได้เร็วเครื่องเชื่อม MMA

– เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ง่าย ไม่ใช้แก๊ส

– พกพาสะดวก/ราคาประหยัด

ข้อเสีย

– ควันมาก

– ไม่สามารถเชื่อมต่อเนื่อง

– ต้องมีแหล่งจ่ายไฟ

2. เครื่องเชื่อม TIG (Tungsten Inert Gas Welding หรือ GTAW)

คลิกเพิ่มเติม

          เครื่องเชื่อม TIG (Tungsten Inert Gas Welding หรือ GTAW) หรือ เครื่องเชื่อมอาร์กอน เป็นกระบวนการเชื่อมแบบอาร์คชนิดหนึ่งที่ใช้ แท่งอิเล็กโทรดเป็นทังสเตนในการเชื่อม บริเวณบ่อหล่อมจะมีแก๊สเฉี่อยปกคลุม เพื่อป้องกันบ่อหลอมจากการปนเปื้อนหรือการทําปฏิกิริยากับอากาศรอบข้างแก๊สเฉื่อยที่ใช้กันทั่วไปคืออาร์กอนหรือฮีเลียม เครื่องเชื่อมประเภทนี้เหมาะสําหรับงานคุณภาพที่ต้องอาศัยความปราณีตของช่างที่มีประสบการณ์ในการเชื่อม เหมาะกับการเชื่อมสแตนเลสและอลูมิเนียม (รวมถึงชิ้นงานที่บางๆ)

ตู้เชื่อม TIG มีทั้งแบบเชื่อมอาร์กอนเพียงระบบเดียว และแบบเชื่อมอาร์กอนกับเชื่อมระบบอื่น ได้แก่ ตู้เชื่อม 2 ระบบ คือเชื่อมอาร์กอน และเชื่อมธูปหรือทั่วไปเรียกกันว่าเชื่อมเหล็ก กับตู้เชื่อม 3 ระบบ คือ เชื่อมอาร์กอน เชื่อมธูป และเชื่อมอลูมิเนียมหรือระบบ AC ที่เราเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ตู้เชื่อมระบบ AC/DC

ตู้เชื่อมอาร์กอนที่มี 2 ระบบ จะมีสวิตช์เปลี่ยนระบบเชื่อม TIG และ ARC ถ้าเราเชื่อม TIG สายดินจะอยู่ที่ขั้ว (+) สายเชื่อมจะอยู่ที่ขั้ว (-) แต่เมื่อเรานำมาเชื่อมไฟฟ้าหรือเชื่อมธูป สายดินจะต้องเปลี่ยนมาใส่ที่ขั้วลบ (-) และสายเชื่อมจะต้องไปอยู่ที่ขั้วบวก (+) แทน

ข้อดี

– การควบคุมคุณภาพ แนวเชื่อมสวยงาม

– ความแข็งแรงของแนวเชื่อม

– สะอาด ควันน้อย ไม่มีประกายไฟ

ข้อเสีย

– เชื่อมได้ช้า

– ต้องใช้ความชํานาญในการเชื่อม

– การตั้งค่าค่อนข้างซับซ้อน

3. เครื่องเชื่อม MIG (Metal Inert Gas)

คลิกเพิ่มเติม

เครื่องเชื่อมแบบ MIG (Metal Inert Gas) หรือเครื่องเชื่อมคาร์บอน (CO2) เป็นเครื่องเชื่อมที่ใช้การป้อนเนื้อลวดลงที่ชิ้นงานโดยอัตโนมัติจากเครื่อง ซึ่งเครื่องเชื่อม CO2 ชนิดนี้อาจจะใช้แก๊สผสมด้วยคาร์บอนก็ได้ขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการเชื่อม ข้อแตกต่างจากการเชื่อมอาร์กอน คือ เครื่องเชื่อม CO2 จะใช้แก๊ส CO2 และไม่ต้องใช้คนป้อนลวดเหมือนเชื่อมอาร์กอน เชื่อมได้ทั้งเหล็ก สแตนเลสและอลูมิเนียม แล้วแต่ลวดที่ป้อนจะเชื่อมชิ้นงาน หากจะเชื่อมอลูมิเนียม ก็ต้องมีการเปลี่ยนท่อนำลวด (Liner) เครื่องเชื่อมประเภทนี้เหมาะสําหรับงานเชื่อมตามโรงงานอุตสาหกรรม งานเชื่อมที่ต้องการคุณภาพงานสูง เหมาะกับการเชื่อมงานทุกประเภท

ข้อดี

– เชื่อมโลหะได้เกือบทุกชนิด เหล็ก สแตนเลส อลูมิเนียม ทองแดง เหล็กเหนียว

– การเชื่อมสามารถเดินแนวเชื่อมได้อย่างต่อเนื่องและเร็วกว่าการเชื่อมไฟฟ้าที่ใช้ธูปเชื่อมที่ต้อง เปลี่ยนธูปเชื่อมบ่อยๆ

ข้อเสีย

– เชื่อมได้ช้า

– ต้องใช้ความชํานาญในการเชื่อม

– การตั้งค่าค่อนข้างซับซ้อน

4. เครื่องตัดพลาสม่า (Plasma)

คลิกเพิ่มเติม

เครื่องตัดพลาสม่า (Plasma) เป็นเครื่องตัดที่ต้องต่อกับปั๊มลมไฟฟ้าส่งไปที่ลมที่มีความเร็วตรงหัวปืนตัดทําให้ลมกลายเป็นพลาสม่า (Solid liquid gas plasma) ลมพลาสม่าผลักออกไปตัดชิ้นงาน เครื่องตัดพลาสม่าสามารถตัดชิ้นงานที่เป็นโลหะได้ทุกชนิดแต่ความหนาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดโลหะ เช่น ตัดเหล็กได้ความหนามากที่สุดรองลงมาคือสแตนเลสและอลูมิเนียมตามลำดับ

ข้อดี

– สามารถตัดชิ้นงานที่มีความเว้าโค้งหรือรูปร่างต่างๆ ได้โดยง่าย สูญเสียเนื้อชิ้นงานน้อย

– สภาพรอยตัดจะมีความราบเรียบและสวยงามมีความเรียบร้อย

ข้อเสีย

– ราคาสูงกว่าการตัวโดย Oxy fuel

– คุณภาพงานต้องขึ้นกับความชํานาญของผู้ใช้

– เครื่องตัดพลาสมาต้องเปลี่ยนอะไหล่สิ้นเปลืองบ่อย

*** กำลังไฟเครื่องเชื่อม (Current Range) ***

การเลือกกำลังไฟของเครื่องเชื่อมขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการเชื่อม ความหนาของชิ้นงาน ทั้งนี้การเลือกเครื่องเชื่อมควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานเพื่อประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด และ ผู้ใช้งานสามารถดูคู่มือเครื่องเชื่อมได้เพื่อปรับกระแสไฟให้เข้ากับชิ้นงาน

ขั้นตอนที่ 2 เลือกอุปกรณ์ “ลวดเชื่อม”

1. ลวดเชื่อมธูป หรือ ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลั๊กซ์ (Covered Welding Electrode)

เป็นลวดเชื่อมที่ด้านนอกจะมีสารเคลือบฟลั๊กซ์ (Flux) มีลักษณะคล้ายธูป ด้านในเป็นลวดโลหะ ซึ่งลวดโลหะมีอยู่หลายชนิด เช่น ลวดเชื่อมเหล็ก และ ลวดเชื่อมสแตนเลส สามารถเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของชิ้นงานที่ต้องการเชื่อม เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้งานกันมากในหมู่ช่างเชื่อม อุปกรณ์และเส้นลวดเชื่อมมีราคาไม่แพง มีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน ตั้งแต่ 2.0 , 2.6 , 3.2 , 4.0 และ 5.0

2. ลวดเชื่อมไส้ฟลักซ์ (Flux Cored Wire)

เป็นลวดเชื่อมโลหะแบบเป็นม้วน ลวดมีแกนกลวงบรรจุด้วยสารพอกอยู่ภายในลวด ต่างจากลวดเชื่อมธูปไฟฟ้า (Welding Electrode) ที่สารพอกจะอยู่ภายนอกลวดเชื่อม ลวดเชื่อมไส้ฟลักซ์ (Flux Cored Wire) มีราคาค่อนข้างสูง แต่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อมได้รวดเร็วและสวยงาม

3. ลวดเชื่อมมิก/แมก (MIG/MAG) หรือ ลวดเชื่อม CO2 (MIG Welding Wire)

เป็นลวดเชื่อมโลหะแบบเปลือย เปลือกไม่มีสารพอกหุ้มภายนอก มีลักษณะเป็นม้วน ข้อดีคือเชื่อมได้เร็ว ต้องใช้แก๊สซีโอทู Co2 (แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์) ปกคลุม ใช้ในอุตสาหกรรมงานประกอบเหล็กทั่วไป งานอุตสาหกรรมรถยนต์ และงานโครงสร้างทั่วไป

ลวดเชื่อมทิก หรือ ลวดเชื่อมอาร์กอน (Tig Welding Rod)

4. ลวดเชื่อมทิก หรือ ลวดเชื่อมอาร์กอน (Tig Welding Rod)

เป็นลวดเชื่อมเปลือยมีลักษณะคล้ายลวดเชื่อมมิก แต่จะเป็นแบบเส้นตรง แต่ละเส้นมีความยาวประมาณ 1 เมตร นิยมใช้กับงานเชื่อมที่มีความละเอียด มีทั้งที่เป็น เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส (308L , 309L , 310L , 316L) ทองเหลือง และโลหะอื่นๆ มีขนาดตั้งแต่ 1.6 , 2.0 , 2.4 และ 3.2 มม.

ลวดเชื่อมเซาะร่อง หรือ ลวดเชื่อมเก๊าจ์ (Gouging Electrode)

5. ลวดเชื่อมเซาะร่อง หรือ ลวดเชื่อมเก๊าจ์ (Gouging Electrode)

เป็นลวดเชื่อมชนิดกลมแบบพิเศษ สำหรับงานเซาะร่องโลหะ ตัดโลหะ กำจัดเนื้อโลหะที่เชื่อมไม่ได้คุณภาพให้ออกจากชิ้นงาน และสามารถใช้ทำความสะอาดแนวเชื่อมสำหรับเตรียมชิ้นงานก่อนเชื่อม โดยใช้เครื่องเชื่อมไฟฟ้า

ลวดเชื่อมพิเศษ

ลวดเชื่อมพิเศษ

เป็นลวดเชื่อมที่แบ่งกลุ่มออกมาเพื่อใช้งานเฉพาะ เช่น ลวดเชื่อมทนแรงดึงสูง , ลวดเชื่อมพอกผิวแข็ง , ลวดเชื่อมอินโคเนล , ลวดเชื่อมไฟฟ้าอลูมิเนียม , ลวดเชื่อมนิกเกิลอัลลอยด์ , ลวดเชื่อมไฟฟ้าทองแดง และ ลวดเชื่อมประสาน เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 แนะนำ “อุปกรณ์ป้องกัน” งานเชื่อมโลหะ

          มีเครื่องเชื่อม และลวดเชื่อมแล้ว เรายังต้องมีการรักษาความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งงานเชื่อมโลหะเราได้บอกกันข้างต้นแล้วว่าเป็นงานที่อัตรายสุดๆ ดังนั้นเราจงควรต้องมีการป้องกันที่ดี โดยมี 4 อุปกรณ์หลักๆที่ช่วยเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้เรา มีดังนี้

หัวจับสายดิน (Ground Lamp)

มีลักษณะเป็นคีมจับ ใช้จับชิ้นงานมีหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าจากชิ้นงานผ่านสายเชื่อมกลับเข้าเครื่องเชื่อม

หน้ากาก (Welding Helmet)

ทำมาจากไฟเบอร์ (Fiber) ใช้ป้องกันดวงตาและผิวหนัง หน้ากากที่ดีจะต้องมีเลนส์กรองแสง Infrared Ray และ Ultra Violet Ray ได้ตั้งแต่ 99.50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หน้ากากมีอยู่ 2 แบบคือ แบบสวมศีรษะ (Hear Shield) และแบบมือถือ (Hand Shield)

แปรงลวด ปัดผง

ค้อนเคาะ, แปรงลวด (Hammer and Brush)

เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำความสะอาดรอยเชื่อม

ถุงมือป้องกันงานเชื่อม

ถุงมือหนัง (Gloves)

ใช้สำหรับป้องกันไฟฟ้าดูดและป้องกันความร้อนจากการเชื่อมไฟฟ้า

รวมสินค้าแนะนำ

สินค้าหมดแล้ว
- 13%
Original price was: ฿8.00.Current price is: ฿7.00.

เป็นยังไง กันบ้างคะ สำหรับ 3 ขั้นตอนการเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม นอกจากเราจะได้ความรู้สำหรับการเลือกเครื่องเชื่อมแล้วเรามีอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยมาแนะนำ กันด้วยนะคะ เพราะอย่าที่ว่า งานเชื่อมเป็นงานที่อัตรายมาก แล้วยังต้องเจอกับ สเก็ดไฟ ที่มีความร้อน เราควรป้องกัน ให้เราทำงานกันอย่างป้องภัยกันนะคะ

สำหรับท่านใดสนใจสินค้า สามารถเลือกซื้อกันได้ ในส่วนสินค้าแนะนำ หรือกดเลือกซื้อ ตรงรูปภาพได้นะคะ หรือถ้าหากต้องการติดต่อสอบถามเพิ่มสามารถสอบถามได้ ที่  facebook fanpage : “ WeHome วีโฮม เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ ” เรามีแอดมินคล่อยให้คำปรึกษาค่ะ

และยังสามารถเลือกซื้อช่องทางอื่นๆ ได้ที่

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline

📥2. ช้อบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline

🌍3. ช้อปผ่านเว็บไซต์ https://www.wehome.co.th ตลอด 24 ชม.

🛒4. ช้อปผ่าน LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒5. ช้อปผ่าน Shopee : https://www.shopee.co.th/ wehomeonline

🛒6. ช้อปผ่าน JD CENTRAL : https://www.jd.co.th/shop/pc/27676.html

🛒7. ช้อปผ่าน NOC NOC  :

📞8. โทรหาเราสั่งของได้ 074-338-000

ขอขอบคุณ ข้อมูลดีๆ และภาพประกอบ จาก

5 ขั้นตอนติดตั้งบล็อกแก้ว ด้วยตนเอง

อาคารและวัสดุตกแต่งที่ทันสมัยในรูปแบบของบล็อกแก้วให้โอกาสเพียงพอสำหรับการตกแต่งภายใน การใช้ “อิฐแก้ว” เหล่านี้ทำให้คุณสามารถใช้โซลูชั่นที่ไม่คาดคิดที่สุดสำหรับการตกแต่งห้องได้ โครงสร้างดังกล่าวมีความสะดวกในการใช้งานมาก พวกมันส่งแสงได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยมีลักษณะเป็นฉนวนความร้อนและเสียงที่มีอัตราสูง ในการติดตั้งผนัง หรือพาร์ติชั่นที่ทำจากบล็อกแก้ว คุณจะต้องคำนึงถึงคุณสมบัติบางประการของการทำงานกับวัสดุนี้

ขั้นตอนการติดตั้ง บล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

1. เตรียมอุปกรณ์ในการก่อบล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

เตรียมอุปกรณ์ ติดตั้งบล็อกแก้ว

อุปกรณ์ การก่อบล็อแก้ว หรือ อิฐแก้ว

2. เตรียมพื้นที่ติดตั้ง บล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

วิธีคำนวนจำนวนบล็อกแก้ว ที่ต้องติดตั้ง

1.1 คำนวน และเตรียมพื้นที่ติดตั้ง บล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

การกำหนดจุดเหล็กเสริม

1.2 การกำหนดจุดเหล็กเสริม

3. การเตรียมปูนซีเมนต์ผสมสำหรับก่อบล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

การเตรียมปูนซีเมนต์ผสมสำหรับการก่อบล็อกแก้ว

เตรียมผสมปูนซีเมนต์ อัตราส่วน 1:3:1

4. เริ่มก่อบล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

เริ่มต้นก่อบล็อกแก้วโดยก่อมุมก่อน

4.1 เริ่มต้นก่อบล็อกแก้วโดยก่อมุมก่อน

4.2 ก่อบล็อกแก้ว แถวแรก

ตรวจสอบระดับบล็อกแก้ว แนวราบ และแนวดิ่ง ใช้ระดับน้ำ

4.3 ตรวจสอบระดับบล็อกแก้ว แนวราบ และแนวดิ่ง โดยใช้ระดับน้ำ

ก่อบล็อกแก้วแถวถัดไป และวางเหล็กเสริม

4.4 ก่อบล็อกแก้วแถวถัดไป และวางเหล็กเสริม

5. เก็บงาน และแต่งร่องบล็อกแก้ว หรือ อิฐแก้ว

5.1 เก็บงานการก่อบล็อกแก้ว โดยใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ เช็ด ทำความสะอาดเศษปูน

5.2 แต่งร่องบล็อกแก้ว ด้วยยาแนว รอให้แห้ง แล้วเช็คด้วยผ้าชุมน้ำหมาดๆ

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับ บทความ 5 ขั้นตอนติดตั้งบล็อกแก้ว ด้วยตนเอง สำหรับคนที่ไม่เคย ติดตั้งบล็อกแก้วมาก่อน ก็ สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้ได้ นะคะ ในการก่อบล็อกแก้ว ก็ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เราควรป้องกันด้วย 5 อุปกรณ์นิรภัยป้องกันความเสี่ยง บทความนี้ จะนำทุกท่านไปรู้จักกับอุปกรณ์นิรภัยกันคะ

Select the fields to be shown. Others will be hidden. Drag and drop to rearrange the order.
  • Image
  • SKU
  • Rating
  • Price
  • Stock
  • Description
  • กำลังไฟฟ้า (วัตต์)
  • ขนาด
  • ความหนา
  • จำนวนช่อง
  • จำนวนชั้น
  • ชนิดฟิล์ม
  • การติดตั้ง
  • ทิศทาง
  • จำนวนที่นั่ง
  • น้ำหนัก (Kg)
  • ประเภทสินค้า
  • มาตรฐานการป้องกัน
  • ยาว
  • ยี่ห้อ
  • ระบบเปิด-ปิด
  • ระยะที่วัดได้
  • รูปทรง
  • ลักษณะบาน
  • วัสดุ
  • วัสดุหลัก
  • สี
  • หนา
  • เบอร์
  • แสงไฟ
  • Add to cart
  • Additional information
Click outside to hide the comparison bar
เปรียบเทียบ