Category Archives: เคล็ด (ไม่) ลับ

เลือกเครื่องฉีดน้ำให้เหมาะกับการใช้งาน

          เครื่องฉีดน้ำ เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง เป็นเครื่องมือที่มีการออกแบบการทำงานของแรงดันน้ำ บริเวณส่วนกลางของหัวฉีดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยระดับของแรงดัน ก็จะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของงานที่ใช้ ไม่ต้องเสียเวลามานั่งออกแรงขัด เพียงแค่มีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงอยู่ ก็สามารถทำให้ปัญหาคราบสิ่งสกปรกตกค้างที่ฝังลึกอยู่ ถูกกำจัดออกไป อาจจะใช้เวลาเล็กน้อย สำหรับคราบที่ฝังลึกมากๆ แต่เรื่องไม่ต้องออกแรงขัด ถือว่าช่วยทุ่นแรงได้มากเลยทีเดียว เพราะหากใช้เพียงสายยางฉีดน้ำทั่วไปฉีดเพียงอย่างเดียว ก็ไม่สามารถทำให้หลุดออกได้ อีกทั้งยังต้องออกแรงในการขัดช่วยอีก ซึ่งก็จะทำให้ต้องเสียเวลามากยิ่งขึ้นแถมยังเหนื่อยอีกด้วย ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน มากขึ้นๆเรื่อยๆทุกวัน จนที่เรียกได้ว่า ทุกสถานที่ต้องมีติดใว้

เครื่องฉีดน้ำแรงดัดสูง คือ อะไร ?

           เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชนิดหนึ่ง ที่สามารถเพิ่มกำลังของแรงน้ำได้ กำลังที่ได้เกิดขึ้นจาก มอเตอร์ไฟฟ้า หมุนด้วยรอบความเร็วสูง ดันลูกสูบส่งกำลังน้ำออกมา แล้วรีดปลายหัวฉีดหรือทางออกน้ำสุดท้าย ให้เหลือขนาดเล็กลงใหญ่กว่ารูเข็มเล็กน้อย  ก็จะเกิดแรงดันได้สูงถึง 100 บาร์ หรือมากกว่า ใช้สำหรับทำความสะอาดล้างสิ่งสกปรกต่างๆออกจากพื้นผิวตามที่เราต้องการ  โดยใช้แรงดันของน้ำเป็นตัวชำระล้างหน้าพื้นผิว

           ซึ่งในปัจจุบันเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง มีมากมายหลายชนิด หลายรูปแบบ ตามการใช้งาน และมีทั้งแบบน้ำร้อน และ น้ำเย็น  ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงสำหรับใช้ภายในครัวเรือนทั่วไป ขนาดใช้แบบ บริษัท ธุรกิจขนาดเล็ก โรงงานอุตสหกรรม จนไปถึง ธุรกิจขนาดใหญ่

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงมีกี่ประเภท ?

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงส่วนใหญ่ที่นิยม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ใช้ตามบ้านทั่วไป คือ แบบ แปรงถ่าน หรือ ยูนิเวอเซล จะนิยมใช้ทั่วไป เนื่องจากมีราคาถูก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย

ข้อเสียคือ เสีย ต้องแปรงถ่าน และมีเสียงดังมาก แปรงถ่าน อุปกรณ์มอเตอร์ อายุใช้งานสั้นกว่า เนื่องจากมีความเร็วรอบที่สูงกว่า และกินกระแสไฟฟ้าเยอะ

2. ใช้ตามบ้านและใช้แบบธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คือ แบบมอเตอร์ไร้แปรงถ่าน หรือ INDUCTION MOTOR

ข้อดีคือ แข็งแรง ทนทาน เสียงเบา

ข้อเสียคือ น้ำหนักมาก

” ทั้งสองแบบ นี้ จะเป็น แบบลูกสูบ 3 ลูก และใช้ระบบจานหมุน ที่เรียกว่า wobble เพื่อสลับกันดันน้ำออกมาด้วยความเร็วสูง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงแบบแปรงถ่านมีความเร็วรอบสูงกว่า แบบ ไร้แปรงถ่าน หรือ INDUCTION MOTOR ทำให้ แบบแปรงถ่าน มีเสียงค่อนข้างดัง เนื่องจากมีความเร็วรอบถึง 3400 รอบต่อนาที “

ความแรงมีตั้งแต่ 60 บาร์ ไปจนถึงหลายร้อยบาร์ และ มีขนาดโฟลลิตรน้ำ ต่อนาที ตั้งแต่ 3.5ลิตรต่อนาที ไปถึง 50 ลิตรต่อนาที แล้วแต่ขนาดของมอเตอร์ ว่ามีกำลังอัดน้ำได้เท่าไหร่ FLOW RATE PER MINUTE หรือ โฟลลิตรน้ำต่อนาที หรือ การที่น้ำไหลผ่านปั๊มจำนวนกี่ลิตรต่อนาที ราคา ก็ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักแสนบาท แล้วแต่วัสดุ เทคโนโลยี คุณภาพ แบรนด์ เครื่องฉีดน้ำในทุกสถานที่ ที่มีการล้างทำความสะอาด เพราะทำให้สะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา ไม่เปลืองแรง และงานยังหมดจดเรียบร้อย กว่า ใช้สายยางทั่วไป และ ด้วยแรงดันของน้ำที่มหาศาล รวมกับหัวฉีดแบบพิเศษต่างๆ ก็ สามารถขจัดคราบสกปรก หรือคราบที่ไม่ต้องการให้หลุดออกไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสี่ยงระวังใช้กับสารเคมี ที่ใช้ทำความสะอาดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสารเคมี ที่เป็นผลิตภัณฑ์ ที่ใช้เกี่ยวกับทำความสะอาด เป็นอันตรายต่อร่างกายของเราเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะทางผิวหนัง หรือ สูดดมทางลมหายใจ

ทำไมต้องใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ?

1. มีประสิทธิภาพในเรื่องการทำงานสะอาด

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จะใช้แรงดันน้ำประปาในระดับปกติ คือ 4 บาร์ โดยน้ำจะถูกจ่ายไปยังเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงผ่านไปยังสายยางอีกที โดยจะถูกควบคุมแรงด้วยหัวปั๊ม ซึ่งจะทำให้เกิดแรงดันที่มีค่าสูงได้ถึง 250 บาร์ ถึงแม้ว่าเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จะมีขนาดหัวฉีดที่เล็ก แต่สามารถทำให้น้ำที่ถูกฉีดออกมา กระจายเป็นละอองน้ำ ที่ออกมากมีประสิทธิภาพที่เข้มข้นพอที่จะใช้ทำความสะอาดได้ นอกจากความทรงพลังของแรงดันที่ช่วยประหยัดเวลาแล้ว ด้วยหัวฉีดที่มีความทันสมัย ทำให้สามารถนำมาใช้งานได้กับอุปกรณ์ทุกรุ่น เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีสมรรถนะในการทำงานที่สูง ทำให้ช่วยประหยัดทั้งเวลา และแรงงานที่ใช้ในการทำความสะอาด เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงจึงเป็นนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในทุกรูปแบบ

2. ชำระล้างคราบสกปรกได้เป็นอย่างดี

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงนอกจากจะมีเทคโนโลยีหัวฉีดคุณภาพสูงแล้ว ยังมีสมรรถนะเรื่องของ ระบบฉีดน้ำวงแคบ และไอน้ำในแนวราบ ทำให้สามารถชำระล้างคราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อยู่ในร่องลึก ยากต่อการเข้าถึงได้เป็นอย่างดี โดยใช้เวลาไม่นาน ถือว่าเป็นจุดขายของเครื่องเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมที่มีความสร้างสรรค์ และคุณภาพสูง ผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการผลิตมาอย่างดี มีการทดสอบทางด้านฟังก์ชั่น และประสิทธิภาพของเครื่องก่อนนำออกมาวางจำหน่าย จึงทำให้ผู้ใช้สามารถไว้วางใจที่จะนำมาใช้งาน โดยหมดกังวลเรื่องความปลอดภัย

3. ตอบโจทย์การทำความสะอาดได้หลากหลายรูปแบบ

อาจจะมีหลายคน ที่ยังไม่ทราบถึงประโยชน์ของเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ที่มีสารพัดประโยชน์ ซึ่งสามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน เช่น นำมาใช้ล้างรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ดูแลบ้านและสวน ใช้ล้างพื้นบ้าน หรือจะใช้ทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะตามกระจก มุ้งลวด ระเบียงรั้ว กำแพงหิน คราบตะไคร่ในสระว่ายน้ำ ลานพื้นหน้าบ้าน หรือแม้กระทั่งใช้ทำความสะอาดตัวอาคารทั้งหลัง ก็สามารถทำได้ เรียกได้ครบครันตอบทุกโจย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี

4. มีคุณสมบัติในการขจัดคราบสกปรกที่ฝั่งแน่น

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงมีคุณสมบัติในเรื่องของการขจัดคราบ ไม่ว่าจะเป็นคราบตื้นลึก ก็สามารถชำระล้างได้ เพราะน้ำที่ถูกฉีดออกมา มีแรงดที่สูงมากกว่าปกติ ทำให้น้ำ หรือละอองที่ฉีดออกไปกระทบยังจุดต่าง ๆ ได้ ทำให้คราบหลุดออกได้ง่ายขึ้น ต่างจากสายยางที่ใช้ฉีดน้ำทั่วไป ซึ่งไม่สามารถที่จะใช้ในการชำระล้างคราบได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่มีแรงดันเพียงพอ ที่จะช่วยทำให้น้ำกระจายออกไปอย่างทั่วถึงบริเวณได้อย่างเท่ากันทั้งหมด จึงทำให้เป็นไปได้ยาก ที่คราบตะไคร่ หรือสิ่งอุดตันที่อยู่ตามร่องหลุดออกไป เพราะฉะนั้นเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงได้เป็นอย่างดี

5. ใช้งานง่าย สะดวกสบาย ไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ

เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย สะดวกสบาย ช่วยประหยัดเวลาในการทำความสะอาด เพียงแค่นำเอาอุปกรณ์ต่อพ่วงไปต่อกับหัวใจน้ำ  จากนั้นเสียบปลั๊กไฟ และเมื่อใดที่เปิดก๊อก เครื่องฉีดน้ำ แรงดันสูงก็จะเริ่มทำงานทันที ซึ่งถือว่าใช้งานง่ายมาก ตัวเครื่องก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ พกพาสะดวก และจัดเก็บง่ายไม่เปลืองพื้นที่

” ในปัจจุบันเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ผลิตออกมาหลากหลายรูปแบบหลากหลายยี่ห้อให้ได้เลือกสรร โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าต้องการแบบไหนที่ดี และสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ตามความต้องการ ซึ่งในส่วนนี้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาหาข้อมูลประกอบด้วยเล็กน้อย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเงินแพง แต่ไม่คุ้มกับการใช้งานจริง หรือต้องมาเสี่ยงที่จะเสียเงินซ่อมในภายหลังบ่อย ๆ “

How To การดูแลรักษา เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ?

          เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้แรงดันน้ำกำลังสูงนั้น จำเป็นต้องเซ็คเครื่อง และดูแลรักษาเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงให้ดี เพราะเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ล้วนแล้วแต่มีอุปกรณ์หลายอย่าง ที่ต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นปืนฉีดน้ำ ปั๊มแรงดัน สายฉีดน้ำ มอเตอร์ สายไฟ วาล์ว และอุปกรณ์อื่น ๆ ต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ซึ่งในการดูแลรักษาเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงนั้น ทำได้ยาก และจะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง ดังนี้

  1. ห้ามเปิดเครื่อง หรือห้ามฉีดน้ำโดยที่ยังไม่ได้ต่อเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงกับสายน้ำโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงพังง่าย และเสื่อสภาพเร็ว
  2. ถ้าไม่ค่อยได้ใช้งาน แนะนำให้ไล่น้ำออกจากเครื่องให้หมดก่อน โดยใช้ปืนฉีดน้ำต่อเข้ากับปั๊มลม
  3. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เมื่อการใช้งานครบทุก ๆ 500 ชั่วโมง
  4. เมื่อไม่ได้ใช้งานบ่อย ควรถอดที่กรองน้ำออกมาทำความสะอาดเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อกันที่กรองน้ำอุดตัน
  5. การดูแลรักษาเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องคอยหมั่นดูแลแล้วเอาใจใส่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตัวเครื่อง และระบบสามารถใช้แรงดันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน

สินค้าแนะนำ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : รู้จักกับ เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ใช้ทำอะไรได้บ้าง? – KachaThailand

มีช่องทางการสั่งซื้อง่ายๆมาแนะนำคะ

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline
📥2. ช้อบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline
🛒3. LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒4. NOCNOC :
🛒5. Shopee : https://shopee.co.th/wehomeonline
📞6. โทรหาเราสั่งของได้ 074-338-000

เทปกันเสียง Noise Zeal ที่เเก้ปัญหาได้มากกว่า เเค่กันเสียง

“Noise Zeal” คือ เทปสำหรับใช้ติดบริเวณประตู-หน้าต่าง เพื่อแก้ไขปัญหาเสียงดังจากภายนอกที่ลอดทะลุผ่านเข้ามาสร้างความรบกวนภายในบ้าน คอนโด หรือว่าห้องทำงานในออฟฟิศ เมื่อ Noise Zeal ได้รับการพัฒนานำมาใช้กับประตู-หน้าต่างในบ้าน จึงสามารถป้องกันเสียงดังจนทำให้เสียงดังที่เคยได้ยินนั้นลดลงแบบรู้สึกได้ทันที แต่ทั้งนี้ คุณประโยชน์ของ Noise Zeal นั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การแก้ไขปัญหาเสียงดังเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง

1. Noise Zeal ช่วยป้องกันฝุ่นละอองได้

ประตู-หน้าต่าง คือทางผ่านของฝุ่นละอองจากภายนอกที่อยู่อาศัย ที่ทำให้บ้านสกปรก มีฝุ่นที่เป็นอันตรายต่อสมาชิกทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่ฝุ่น PM 2.5 มีปริมาณสูงขึ้นมาก ทำให้หลายๆ บ้านอาจแปลกใจว่า ทำไมตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหายใจไม่เต็มปอด ไม่สดชื่น รู้สึกว่าแสบคอ ระคายคอ นั่นก็เป็นเพราะฝุ่นจากภายนอกบ้านเล็ดรอดผ่านเข้ามาทางช่องประตู-หน้าต่างนั่นเอง ดังนั้น การติด Noise Zeal ในบริเวณประตู-หน้าต่าง นอกจากจะช่วยกันเสียงดังได้แล้ว ยังทำให้ลดช่องว่างที่เป็นทางผ่านของฝุ่นละอองลงไปด้วย จนทำให้รู้สึกได้ทันทีว่า บ้านสะอาดขึ้น ฝุ่นน้อยลง หายใจได้เต็มปอดมากขึ้นกว่าเดิม

2. Noise Zeal ช่วยลดแรงกระแทกเวลาปิดประตู-หน้าต่างได้ดี

1. Noise Zeal ช่วยป้องกันฝุ่นละอองได้

ด้วยคุณสมบัติของการเป็นยางคุณภาพสูง จึงทำให้สามารถช่วยลดแรงกระแทกเวลาปิดประตู-หน้าต่าง หรือเวลาที่มีลมแรงพัดประตู-หน้าต่างปิดเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งข้อดีข้อนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาเสียงดังรบกวนที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในบ้านจากพฤติกรรมการใช้งานของเราด้วยแล้ว ยังถือเป็นการช่วยถนอมอายุการใช้งานของประตู-หน้าต่าง ให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย เพราะแรงกระแทกจากการปิด หรือลมพัดที่รุนแรงนั้น อาจส่งผลทำให้ประตูหน้าต่างชำรุดพังได้เร็วกว่าอายุการใช้งานปกติ

3. Noise Zeal ช่วยป้องกันแมลงได้

มด ยุง แมลงวัน แมลงตัวเล็กๆ ฯลฯ บ่อยครั้งก็มักจะหลุดลอดผ่านเข้ามาทางช่องประตู-หน้าต่าง แล้วสร้างความรำคาญใจให้กับเราได้ ซึ่งการติด Noise Zeal หรือ เทปกันเสียงนั้น จะช่วยทำให้ช่องว่างบริเวณประตู-หน้าต่างหมดไปหรือเล็กลงจนแมลงต่างๆ ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่เป็นมิตรกับสุขภาพเรามากกว่าการฉีดยาฆ่าแมลง ฉีดยากันยุง และเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ใช้งบประมาณประหยัดกว่าการติดเครื่องไล่แมลงที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้ผลดีอย่างที่เราคาดหวัง

3.Noise Zeal ติดตั้งง่าย ใช้ได้กับประตู-หน้าต่างทุกรูปแบบ

นการติดตั้ง Noise Zeal เทปกันเสียงนั้น มีความสะดวกและง่ายเป็นกันกับการติดสก็อตเทป โดยมีขั้นตอนเพียงแค่ 3 ขั้น คือ เช็ดทำความสะอาดบริเวณขอบประตู-หน้าต่างที่ต้องการติด จากนั้นลอกกระดาษสีขาวออกแล้วติดตัวเทป Noise Zeal สีดำไปตามวงกบ หรือ ร่องของประตู-หน้าต่างนั้นๆ โดยกดให้แน่นสนิท และสุดท้ายคือหากเทปยาวเกินขอบประตู-หน้าต่าง ก็ใช้กรรไกรตัดให้พอดี ก็ถือเป็นอันเรียบร้อย ทั้งนี้ เทปกันเสียง Noise Zeal จะมีด้วยกัน 2 ขนาด คือขนาดสำหรับประตู-หน้าต่างประเภทบานสวิง บานพับ หรือบานกระทุ้ง และขนาดสำหรับประตู-หน้าต่างบานสไลด์

ปัญหาเสียงดังรบกวนถือเป็นปัญหาที่ทำให้คุณภาพความสุขในการใช้ชีวิตของเรานั้นลดน้อยลง ซึ่ง Noise Zeal นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยราคาย่อมเยาเพียงหลักร้อย ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่มักพบได้บ่อยในบ้านไปได้ด้วยพร้อมกัน

คลิ๊กเพื่อสั่งซื้อ

เคล็ดลับ! เลือกเครื่องตัดหญ้าที่เหมาะกับบ้านคุณ

เดือน มิถุนายน สำหรับประเทศไทย จะเป็นเดือนที่ เริ่มเข้าสู่หน้าฝน บางพื้นที่ที่อาจจะมีฝนตก ซึ่งจะมีสิ่งที่เราไม่อยากจะพบเจอโดยเฉพาะ ชาวเกษตรกร ที่จะต้องพอเจอกับ วัชพืช ที่เป็นปัญหา และอุปสรรค ในการปลูกผัก ปลูกต้นไม้ วัชพื้นเหล่านี้เติบโตโดยรวดเร็วได้ เพราะอาจะได้ปุ๋ย ที่ชาวเกษตรกร หว่านให้กับต้นไม้ ทำให้ ต้นไม่ได้รับสาอาหารไม่เพียงพอ และดังนั้น ชาวเกษตรกรจึงหันไปใช้ยากำจัด วัชพืชแทน แต่ อาจจะไม่เป็นผลร้ายแรงกับต้นไม้มากนัก แต่จะเป็นผลต่อผู้บริโภคมากเลยทีเดียว เพราะการกินผัก ผลไม้ที่ใช้สารเคมีเหล่านี้ถึงจะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ร่างกายคนเราจะสะสมไปเลื่อยๆ และเป็นปัญหาระยะยาวได้

โดยเราวิธีการแก้ปัญหา ที่ง่ายสำหรับ พี่น้อง ชาวเกษตรกร ขอแนะนำ เคล็ดลับ! เลือกเครื่องตัดหญ้าที่เหมาะกับบ้านคุณ และสวนของคุณโดยจะไม่ทำให้ ผู้บริโภคต้องเสี่ยงกับสารเคมี ยากำจัดวัชพืชอีกต่อไป หรือ บางทันอาจจะใช้สำหรับตัดสวนหญ้าภายในบริเวรบ้านของท่าน เพื่อให้ลูก หลาน หรือ สัตว์เลือกของคุณได้วิ่งเลยได้ อย่างปลอยภัย และเรามาทำความรู้จักกับ เครื่องตัดหญ้ากันเลยค่ะ!!

เครื่องตัดหญ้ามีกี่รูปแบบ

     เครื่องตัดหญ้าเป็นนวัตกรรมที่มีการออกแบบ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบ เเละชนิดเเยกออกมาตามลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับลักษณะหญ้า เเละพื้นที่เเตกต่างกันออกไป ควรเลือกเครื่องตัดหญ้าให้เหมาะสม เเละตอบโจทย์กับการใช้งานได้จริง โดยเครื่องตัดหญ้ามี 3 รูปแบบ ดังนี้

1.เครื่องตัดหญ้าสะพานบ่า

เครื่องตัดหญ้าสะพายบ่า (เครื่องเหวี่ยง) ซึ่งแยกได้ 2 ชนิด เหมาะสำหรับใช้กับพื้นที่รกชัน หญ้าสูง พื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากัน และสามารถใช้ตกแต่งพื้นขอบไหล่ทางถนน หรือ พื้นสนามหญ้าให้สวยงามและเรียบร้อยได้ดี

1.1 เครื่องตัดหญ้าสะพายบ่า แบบข้อแข็ง

     แบบธรรมดา ในการตัดจะใช้เอว สะโพกเหวี่ยงด้วยเเขนจะประคองไว้ (ปวดเมื่อยบริเวณเอวเเละบ่า) ตัดได้ทั้งหญ้าสั้น และหญ้ายาวๆ เเต่จะจำกัดระยะการตัด หากตัดใกล้ตัวต้องถอยหลัง มีน้ำหนักไม่มากเมื่อเทียบกับข้ออ่อน เน้นงานตัดหญ้าที่เรียบไม่เป็นเนินดอย เเละราคาถูกกว่า

1.2 เครื่องตัดหญ้าสะพายบ่า แบบข้ออ่อน

    แบบสะพายหลัง ในการตัดนั้นต้องใช้แขนเหวี่ยง บังคับเท่านั้น (ปวดเมื่อยบริเวณแขนเเละหลัง) ตัดได้ดีที่เป็นหญ้าสั้น ตัดเเบบเอียงองศา สามารถปรับระยะการตัดใกล้ตัวได้โดยขยับแขน หากเจอหญ้าสูงๆยาวๆ หากข้อมือหรือแขนไม่แข็งแรง หญ้าจะพันใบมีดได้ มีน้ำหนักที่มากกว่าเพราะว่าจะมีส่วนประกอบมาเพิ่ม เช่น โครงเหล็ก สายอ่อน เน้นงานเอนกประสงค์ ตัดพื้นที่ราบเเละตัดเอียงองศา สามารถใส่ใบเลื่อยเพื่อเอาไปตัดเเต่งกิ่งไม้ หรือใส่หัวพรวนดินก็ได้ มีความซิกเเซกได้เป็นอย่างดี เเละราคาเเพงกว่าเพราะมีโครงสร้างเเละอุปกรณ์เสริมเข้ามาเพิ่ม

เครื่องตัดหญ้าสะพาย จะมีเครื่องยนต์อยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องยนต์ 2 จังหวะ กับ เครื่องยนต์ 4 จัวหวะ ซึ่งการทำงานมีความเเตกต่างกัน!

เครื่องยนต์ 2 จังหวะ

คือ การทำงานของเครื่องยนต์จะอยู่ 2 ลำดับ ช่วงชักเเรกจะทำการดูด/อัด ช่วกชักที่สองจำการระเบิด/คาย

  1. แบบคาบูลูกลอย สังเกตง่ายๆถังน้ำมันจะอยู่ด้านบนเพื่อสร้างแรงดันน้ำมันเข้าสู่คาบูเรเตอร์โดยมีลูกลอยที่อยู่ในคาบูเรเตอร์เป็นตัวเปิดปิดน้ำมันแบบอัตโนมัติ
  2. แบบคาบูไดอะแฟรมหรือผ้าปั๊ม แบบนี้ถังน้ำมันจะอยู่ด้านล่างและจะมีลูกยางใส่ๆสำหรับกดปั๊มน้ำมันอยู่ตรงคาบิวเลเตอร์ ที่นิยมใช้ตามไร่,ตามสวน

ข้อดีเเละข้อเสียของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ

  1. มีความดัง เเละมีควันดำ มีการกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า
  2. มีความร้อนของตัวเครื่องที่ร้อนเเละสูงกว่า
  3. ให้พลังเเรงตัดหรือความเร็วรอบที่มากกว่า
  4. ราคาถูกกว่า

เครื่องยนต์ 4 จังหวะ

คือ ใช้น้ำมันเครื่องสำหรับการล่อลื่นลูกสูบ สามารถเติมน้ำมันเบนซินได้โดยตรงไม่ต้องผสมน้ำมันออโตลูปเหมือนเครื่องยนต์ 2 จังหวะ โดยการทำงานของเครื่องยนต์จะเป็นลำดับ

  1. ดูดไอดี
  2. อัดไอดี
  3. จุดระเบิด
  4. คายไอเสีย

ข้อดีเเละข้อเสียของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ

  1. มีความเงียบ เเละควันดำไม่มาก ประหยัดเชื้อเพลิง
  2. ตัวเครื่องมีความร้อนที่ไม่สูงมาก
  3. พลังรอบที่ไม่เเรงเท่า 2 จังหวะ
  4. ราคาเเพงกว่า

2. เครื่องตัดหญ้าแบบเดินตามสี่ล้อเข็น

เครื่องตัดหญ้าแบบเดินตามสี่ล้อเข็น ซึ่งแยกได้ 2 ชนิด เหมาะสำหรับใช้ในงานพื้นที่เรียบ สนามหญ้าหน้าบ้าน ในสวนหย่อม สามารถใช้ตัดพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้าง ใช้งานง่าย ใช้แรงงานของกำลังเครื่องยนต์เป็นหลัก

2.1 เครื่องตัดหญ้าแบบเดินตามสี่ล้อเข็น แบบพ่นออกข้าง

    แบบ พ่นหญ้าออกด้านข้าง เป็นเครื่องตัดหญ้ารถเข็น สีล้อที่มีกำลังในการตัดที่เวลาฝนตกใหม่ เราก็สามารถตัดหญ้าได้โดยที่น้ำไม่กระเด็นใส่ แต่ก็จะมีข้อเสียในการใช้งาน หรืออาจะเพื่อภาระให้กับเราอีกคือ การที่หญ้าพ่นออกมาจากด้านข้าง ไม่มีถังเก็บจะทำให้คุณเสียเวลาเเละกำลังเเรงมากวาดหญ้าที่ตัดอีก 1 รอบ

2.2 เครื่องตัดหญ้าแบบเดินตามสี่ล้อเข็น แบบมีกล่องเก็บหญ้าด้านหลัง

    แบบ พ่นหญ้าออกด้านหลัง จะมีการใช้งานคลายๆกับเครื่องตัดหญ้าพ่นออกด้านข้าง แต่จะเป็นการออกด้านหลังแทน ซึ่งจะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับรุ่นนี้ จะมีถังเก็บหญ้าด้านหลัง มีข้อดี คือ หญ้าที่พ่นออกมาจะกองไว้ที่ถัง เมื่อหญ้าเต็ม คุณก็ยกถังหญ้าไปทิ้งได้ง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องไปกวาดหญ้าอีกรอบหนึ่ง

3. รถตัดหญ้าแบบนั่งขับ หรือ รถตัดหญ้าขนาดใหญ่

           ที่มักนิยมเรียกกันว่า รถตัดหญ้าขนาดใหญ่ เพราะ สามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ได้เหมือนรถยนต์ ทั้งยังสามารถปรับระดับความลึกของใบมีดได้ ช่วยให้หญ้ามีความเรียบอย่างสม่ำเสมอกัน เหมาะกับสนามหญ้าที่มีพื้นที่กว้างมากๆ และไม่เปลืองแรงในการเก็บหญ้า แต่ไม่เหมาะแก่การใช้งานในบ้านที่มีพื้นที่สนามหญ้าแคบๆ เพราะมีราคาแพง และสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิง

แหล่งพลังงานที่ใช้ในเครื่องตัดหญ้า

          เครื่องตัดหญ้า มีการพัฒนาแหล่งพลังงานที่ให้เลือกใช้งานหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ น้ำมัน หรือไฟฟ้า แต่ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาแหล่งพลังงานเพิ่มมากขึ้น แต่พลังงานที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มี 3 ประเภทที่ช่วยเพิ่มทางเลือก และทำงานสะดวกมากขึ้น ได้แก่

1. เครื่องตัดหญ้าแบตเตอรี่

เป็นเครื่องที่ใช้พลังจากแบตเตอรี่เป็นหลักในการทำงาน มีฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลายรูปเเบบ เพิ่มความสะดวกในการตัดได้หลากหลาย อาทิเช่น การตัดเเต่งพุ่ม เล็มขอบ เเต่งกิ่งไม้ ด้วยการเปลี่ยนหัวต่อเท่านั้นเอง เครื่องเเบบนี้จะมีมอเตอร์ไร้เเปรงถ่าน ช่วยให้อายุการใช้งานที่ยาวนาน ทั่งลดการสั่นสะเทือนในตัวที่น้อยลง ทำให้การตัดหญ้าเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น

2. เครื่องตัดหญ้าใช้น้ำมัน

เป็นเครื่องที่ใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นหลักในการทำงาน เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังที่สูง มีทั้งเป็นเครื่อง2 จังหวะ เเละ4จังหวะ เป็นที่นิยมมากที่สุดเเละคลาสสิค ต่อไปสำหรับการใช้ตัดหญ้า จุดเด่นหลักๆของเครื่องตัวนี้อยู่ที่กำลังเเรงที่เหลือเฟือในการต่อกรกับหญ้าได้หลายรูปเเบบ โดยจุดด้อยของน้ำมันจะทำให้เครื่องตัดหญ้ามีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาและราคาน้ำมันตามท้องตลาดที่ไม่เเน่นอน

3. เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า

เป็นเครื่องที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า เริ่มเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป สะดวกเรื่องการใช้งานที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ผู้หญิงสามารถใช้งานได้คล่อง ดูเเลรักษาง่าย เพียงเเค่เสียบปลั๊กก็สามารถใช้งานได้ตลอด การทำงานมีความสม่ำเสมอในการใช้ไฟฟ้า เหมาะกับการตัดหญ้าไม่หนามาก ตัดขอบสนามได้รวดเร็ว

การเลือกเครื่องตัดหญ้าแบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ

การเลือกเครื่องตัดหญ้า แอดนำเทคนิคดีๆ ในการเลือกมาฝากกันค่ะ

1. เราควรเลือกการจากใช้งาน

การเลือกเครื่องตัดหญ้า โดยเลือกการจากใช้งานจะช่วยลดความซับซ้อนของการใช้งาน โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในอนาคต และเรายังต้องเลือกตามความถนัด ความเหมาะสมกับบริเวณบ้านของคุณ ซึ่งรูปแบบของเครื่องตัดหญ้ามีด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  • เครื่องตัดหญ้าแบบสะพายบ่า เหมาะกับการตัดหญ้าตามริมถนน ตามสวน ตามไร่ พื้นที่หญ้ารกสูงชัน สามารถหมุนทำงานได้ 360 องศา
  • เครื่องตัดหญ้าแบบรถเข็น เหมาะกับการใช้งานตามบ้านเรือนทั่วไป ที่มีพื้นที่ขนาดกลาง ใช้ตัดหญ้าได้เฉพาะหญ้าเตี้ยๆ
  • เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ เหมาะกับการตัดหญ้าในพื้นที่ขนาดใหญ่ นิยมใช้กับรีสอร์ท โรงแรม สนามกอล์ฟ หรือบ้านที่มีขนาดพื้นที่กว้าง โดยพื้นหญ้ามีความเรียบสม่ำเสมอกัน

2. การเลือกน้ำหนัก

สำหรับบ้านไหนที่มีสนามหน้าไม่กว้างมากนัก และปลูกหญ้าบางๆ ให้พอมีพื้นที่สีเขียวดูร่มรื่น อาจมองหาเครื่องที่มีน้ำหนักเบา เพราะจะสามารถช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนมากแล้ว เครื่องที่มีน้ำหนักเบามักจะมีข้อเสีย คือ มีขนาดเครื่องเล็ก ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้ตัดหญ้าที่รกหนาได้ ส่วนเครื่องที่มีน้ำหนักมาก จะมีแรงตัดมากกว่า ช่วยให้สามารถตัดหญ้าได้ในระดับเสมอดิน

3. ควรคำนึงถึงพื้นที่บริเวณบ้าน

หากสนามหญ้ามีพื้นที่กว้าง ควรเลือกเครื่องตัดหญ้าที่มีรัศมีการตัดหญ้าที่กว้าง และมีขนาดเครื่องที่ใหญ่ตามไปด้วย เพื่อประหยัดเวลา และทำให้ตัดเสร็จเร็วขึ้น ในทางตรงกันข้ามกันหากใช้เครื่องตัดหญ้าที่มีขนาดเครื่องเล็ก หรือมีรัศมีตัดหญ้าในพื้นที่แคบๆ จะทำให้ตัดหญ้าได้น้อย และใช้เวลาในการตัดหญ้านานขึ้น

4. ราคาของเครื่องตัดหญ้า

เครื่องตัดหญ้าแต่ละรุ่น แต่ละแบบ มีราคาไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ หลักพัน จนถึง หลังแสน โดยการเลือกราคาตามประเภทของเครื่องตัดหญ้า มีดังนี้

  • เครื่องตัดหญ้าแบบสะพายบ่า จะมีราคาไม่แพงมากนัก โดยมีราคา 1พัน ฿ ถึง 1หมื่น ฿ 📥
  • เครื่องตัดหญ้าแบบรถเข็น จะมีราคากลางๆ โดยมีราคา 1พัน ฿ ถึง 1หมื่น ฿ 📤
  • เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ จะมีราคาจะค่อนข้างสูง โดยมีราคา 1หมื่น ฿ ถึง 1แสน ฿ 📤 📤

**ถึงแม้เครื่องตัดหญ้าแบบนั่งขับ จะมีราคาสูง แต่ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานในพื้นที่กว้าง สามารถใช้ตัดหญ้าได้อย่างรวดเร็ว มีการเก็บหญ้าเข้ากล่อง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียแรงในการทำความสะอาดหลังจากตัดเสร็จ**

แม้ราคาจะแตกต่างแต่สิ่งสำคัญในการเลือกเครื่องตัดหญ้า ควรเลือกที่มีมาตรฐาน มีการบริการหลังการขายและการรับประกัน เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและความคุ้มค่าในการใช้งาน

สินค้าแนะนำ

- 57%
Original price was: ฿35.00.Current price is: ฿15.00.

          การเลือกเครื่องตัดหญ้า ไม่ยากสำหรับ เลยใช้ไหมค่ะ แค่ จำหลักแค่ 4 ข้อ เลย ค่ะ คือ เราต้องการใช้งานอย่าง อยากให้มีน้ำหนักแบบไหน บริเวณบ้านเรามีพื้นที่ยังไง และราคาคุมค่ากับเรา แค่นี้เอง ค่ะ
ถ้าหากบทความของเราสามารถตอบโจทย์ให้กับคุณ ก็สามารถ ส่งความคิดเห็นกันมาได้เลยค่ะ หรือ ถ้าอยากให้ เราทำเรื่องอะไร ก็ สามารถ คอมเมนต์กันมาได้เลย นะคะ เพราะเรา คือ วีโฮม บิวเดอร์ “เพื่อนบ้านที่เข้าใจคุณ”

มีช่องทางการสั่งซื้อง่ายๆมาแนะนำคะ

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline
📥2. ช้อบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline
🛒3. LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒4. NOCNOC :
🛒5. Shopee : https://shopee.co.th/wehomeonline
📞7. โทรหาเราสั่งของได้ 074-338-000

การเลือกใช้น้ำมันเครื่องต้องเลือกอย่างไร?

          น้ำมันเครื่อง ส่วนสำคัญที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์ เปรียบเสมือนผู้ช่วย และผู้ปกป้องเครื่องยนต์ในเวลาเดียวกัน คือ เป็นสารหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน โดยทำหน้าที่คล้ายฟิล์มเคลือบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เพื่อลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ ช่วยระบายความร้อนให้กับชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ป้องกันการเกิดสนิม ชะล้างสิ่งสกปรกอย่าง คราบเขม่า ผงโลหะ เพื่อลดการอุดตันของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
วันนี้ แอดมินพาทุกท่านมาทำความรู้จัก การเลือกใช้น้ำมันเครื่องต้องเลือกอย่างไร? ไม่เป็นการเสียเวลา ไปรับชมได้ค่ะ

หัวข้อ

ประเภทของน้ำมันเครื่องรถยนต์

1. น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ (Full synthetic oil)

           น้ำมันเครื่องที่มีราคาแพงที่สุด เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดอยู่ที่ 15,000-20,000 กิโลเมตร เพราะมีอัตราการระเหยที่ต่ำ เป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี 100% จึงทำให้มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว และผู้ที่ต้องการดูแลรถเป็นพิเศษหรือรถที่มีราคาสูง

2. น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ (Semi-synthetic oil)

           ราคาอยู่ในระดับกลาง มีอายุการใช้งาน อยู่ที่ 7,000-10,000 กิโลเมตร น้อยกว่าแบบสังเคราะห์แท้ เป็นน้ำมันเครื่องที่มาจากการผสมน้ำมันพื้นฐาน (Base oil) แบบสังเคราะห์แท้ กับน้ำมันดิบ ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากความคุ้มค่าในเรื่องราคาและประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร

3. น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา
(Conventional Oil)

           มีราคาถูกที่สุด และมีอายุการใช้งานน้อยที่สุดจาก 3 ประเภท อยู่ที่ 5,000 กิโลเมตรเป็นน้ำมันเครื่อง ที่กลั่นมาจากน้ำมันดิบ และไม่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ใด ๆ  ได้มาจากธรรมชาติ 100%

การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง

          น้ำมันเครื่องรถยนต์ที่วางขายตามท้องตลาด จะแบ่งตามเครื่องยนต์ได้ 2 ประเภทคือ น้ำมันเครื่องดีเซล และ เบนซิน ซึ่งควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้ตรงกับประเภทเครื่องยนต์ของรถคุณ หรือหากไม่มั่นใจ สามารถศึกษาได้จากคู่มือรถยนต์ว่าเครื่องยนต์ของคุณควรเติมน้ำมันเครื่องรถยนต์ประเภทใด ซึ่งทั้ง 2 ประเภท ล้วนมีคุณสมบัติ ระยะเวลาการใช้งาน และราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ กึ่งสังเคราะห์ หรือแบบธรรมดา

         ปัจจัยสำคัญในการเลือกน้ำมันเครื่อง ควรจะเลือกค่าความหนืดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นภายในเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ซึ่งสามารถดูค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องได้จาก SAE ตามด้วยตัวเลข ซึ่งจะลงท้ายด้วย 5 หรือ 0 เช่น 15, 50 ซึ่งยิ่งตัวเลขที่มีค่ามาก ก็เท่ากับมีค่าความหนืดสูง ตัวเลขที่มีค่าน้อย น้ำมันเครื่องจะมีความใสมากกว่า ซึ่งการเลือกใช้ควรพิจารณาจากเครื่องยนต์ และอายุการใช้งาน

  • น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ มีความหนืดน้อย เช่น 0W30 หรือ 5W40 จะเหมาะกับเครื่องยนต์ใหม่ สมรรถนะดีเยี่ยม
  • น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ จะมีความหนืดเพิ่มขึ้นมา เช่น 10W40 หรือ 15W40 เหมาะกับรถยนต์ทั่วไป
  • น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา จะมีความหนืดสูงมาก เช่น SAE50 เหมาะกับรถยนต์รุ่นเก่า ใช้มานานหลายปี

วิธีเช็คน้ำมันเครื่องด้วย “ตัวเอง”

          สำหรับวิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก คุณเองก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่นเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่เท่านั้นข้อสำคัญ ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้านล่างให้เรียบร้อยก่อน

ขั้นตอนแรก

จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย

ขั้นตอนที่สอง

มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่

ขั้นตอนที่สาม

เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง

ขั้นตอนสุดท้าย

ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” อยู่เสมอ

***ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

แนะนำให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ1ครั้ง

วิธีบำรุงรักษารถยนต์

การซื้อรถสักคันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การดูแลรักษารถให้อยู่คู่กับเราและรองรับการใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล

การขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ทั้งการออกตัวที่ไม่กระโชกโฮกฮากและการเว้นระยะเบรกอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยรักษาความสมบูรณ์ของตัวรถให้คงอยู่ยาวนานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

2. ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง

การล้างรถช่วยให้ตัวรถดูสะอาดน่าใช้ พร้อมกับชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนและฝังอยู่ในร่องหลืบที่เรามองไม่เห็น ควรทำความสะอาดภายในห้องโดยสารให้สะอาดเอี่ยมด้วยเช่นกัน ไม่ควรลืมลงแว็กซ์รถให้ทั่วเพื่อรักษาคุณภาพสีรถให้สวยเงางามหลายปี

3. จอดรถในร่ม

พยายามหาที่จอดรถในร่มเพื่อรักษาสีของตัวรถและปกป้องห้องโดยสารจากแสงแดดที่แผดเผาของบ้านเรา ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจใช้แผงกันแดดปิดบังคอนโซลไว้เพื่อป้องกันความเสียหายของวัสดุพลาสติก

4. เช็คระยะสม่ำเสมอ

ความสำคัญของการเข้าเช็คระยะตามกำหนด คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตรวจสอบชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นทั้งกับรถใหม่และรถมือสอง ช่วยยืดอายุการใช้งานตัวรถและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

5. ดูแลยางรถยนต์

ตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงจะให้ความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันด้วย

6. ล้างห้องเครื่องยนต์

ล้างห้องเครื่องยนต์อย่างน้อยปีละครั้ง เพราะเครื่องยนต์ที่สะอาดจะมีอุณหภูมิการทำงานที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ที่สกปรก นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายบ้าง โดยอาจทำความสะอาดด้วยตนเองก็ได้แต่ควรระมัดระวังชิ้นส่วนสำคัญอย่างกรองอากาศ สายไฟและชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบอิเลกทรอนิก

7. เปลี่ยนหัวเทียน

หลายค่ายรถแนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความประหยัดน้ำมันและสมรรถนะเครื่องยนต์

8. ดูแลรักษาแบตเตอรี่

ถึงแม้แบตเตอรี่ในรถของคุณจะเป็นแบบ maintenance free หรือไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา แต่ก็ควรตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุการใช้งาน โดยควรทำความสะอาดให้ใหม่อยู่ตลอดเวลาและตรวจดูว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่

สินค้าแนะนำ

          เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สำหรับ วิธีเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ของคุณ และ แอดคิดว่าการบำรุงรักษาก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรุยนต์ของคุณด้วย เพราะ การที่เราจะมีรถยนต์ แต่เราแน้แต่การใช้งานตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของรถของท่านก็ จะเป็นการเปลื่องทรัพย์สินในภายกาคหน้าได้เช่นกัน แอดได้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจในการใช้รถ และท่านใดที่มีรถยนต์อยู่แล้ว ควรที่จะรักษารถของท่านให้อยู่ในสภาพดี และ ไม่คราวปล่อยให้เสียหายนะคะ เพราะอาจจะเกิดอัตรายกับท่านได้

มีช่องทางการสั่งซื้อง่ายๆมาแนะนำคะ

📲1. ช้อปผ่าน LINE : @wehomeonline
📥2. ช้อบผ่าน Inbox Facebook Page : m.me/WeHomeOnline
🛒3. LAZADA : https://www.lazada.co.th/shop/wehome-online

🛒4. NOCNOC :
🛒5. Shopee : https://shopee.co.th/wehomeonline
📞7. โทรหาเราสั่งของได้ 074-338-000

เคล็ดลับในการลวดเชื่อม (สำหรับผู้เริ่มต้น)

          ลวดเชื่อมที่ถือว่ามีความสำคัญต่องานเชื่อมโลหะทุกรูปแบบนั้นจะถูกทำขึ้นมาหลากหลายประเภท เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานของโลหะในแต่ละแบบมากที่สุด ดังนั้น เคล็ดลับในการเลือกซื้อลวดเชื่อม (สำหรับมือใหม่)คุณจึงควรรู้ถึงคุณสมบัติที่ดีของลวดเชื่อม เพื่อทำให้คุณได้ลวดที่มีคุณภาพ โดยดูจากลวดเชื่อมที่ดีควรมีความทนทานต่อความร้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมแก๊สหรือเชื่อมไฟฟ้าและมีความยืดหยุ่นในตัว ควรทนทานต่อทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศแบบใดก็สามารถที่จะเชื่อมต่อโลหะได้อย่างทนทาน แข็งแรง และใช้งานได้ยาวนาน ทำให้การเชื่อมต่อของโลหะเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมให้การยึดติดที่ดี มีความต้านทานต่อความร้อน ทนทานต่อรอยร้าว และสามารถเติมเต็มรอยต่างๆ และลวดเชื่อมที่จะได้รับความนิยม คือ ลวดที่ใช้แล้วควันน้อย ประกายไฟมีไม่มาก และไม่ทำให้กลิ่นรุนแรงมากจนเกินไป โดยเฉพาะ ถ้าเลือกที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับตัวงาน ย่อมทำให้คุณสามารถทำทุกงานออกมาอย่างดีเยี่ยมได้ง่ายดายมากขึ้นและให้ความปลอดภัยต่อการใช้งานที่มากกว่าเดิมอีกด้วย

เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม

เครื่องมือและอุปกรณ์เชื่อมไฟฟ้าที่จะกล่าวถึงมีดังนี้

1. เครื่องเชื่อม (Welding Machine)
2. ตัวจับลวดเชื่อมหรือตัวจับอิเล็กโทรด (Electrode Holder)
3. สายเชื่อม (Welding Cable)
4. ตัวจับสายดิน (Ground Clamps)
5. ข้อต่อสายเชื่อม (Quick – cable connector)
6. หน้ากากเชื่อม (Helmet)
7. หมวกนิรภัย (Safety Hat)
8. ค้อนเคาะสแลก (Chipping Hammer)
9. แปรงลวดทําความสะอาด (Wire Bruch)
10. คีมจับงาน (Tongs)

          หากท่านใดต้องการรู้ขั้นตอนการเลือกซื้อเครื่องเชื่อม แอดแนะนำ 3 ขั้นตอน การเลือกอุปกรณ์งานเชื่อม แอดได้นำวิธีการเลือกอุปกรณ์ “ตู้เชื่อม” และหลักการเลือกซื้อ “ลวดเชื่อม” มาให้คุณได้อ่านกัน!!

เลือกขนาดของลวดเชื่อมที่เหมาะสม

            นอกจากจะต้องพิจารณาถึงลักษณะงานที่ทำ และทราบรายละเอียดของงานแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงขนาดที่เหมาะสมระหว่างลวดเชื่อมไฟฟ้า และตัวชิ้นงานเอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก และเพื่อป้องกัน อันตรายจากงานเชื่อมไฟฟ้า ซึ่งการใช้งานลวดเชื่อมไฟฟ้าแต่ละขนาดให้พิจารณาตามความเหมาะสมดังนี้

1. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 1.6mm. เหมาะสำหรับเหล็กบาง 0.8 – 1.0 mm. และงาน DIY ทั่วไป
2. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 2.0mm. เหมาะสำหรับเหล็กบางประมาณ 1mm.
3. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 2.6mm. เหมาะสำหรับเหล็กตัวซี , เหล็กกล่อง และเหล็กทั่วไป
4. ลวดเชื่อมไฟฟ้าขนาด 3.2mm. เหมาะสำหรับงานโครงสร้างเหล็กทั่วไป และงานเชื่อมเรือเดินทะเล

ตั้งค่ากระแสเชื่อมให้ถูกต้อง

          กระเเสเชื่อม คือ การปรับตั้งค่าการกระเเสเชื่อมนั้น มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของการเชื่อมชิ้นงาน ซึ่งงานที่เราเชื่อมจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับการปรับกระเเสไฟของการเชื่อม การปรับหรือการตั้งกระเเสไปตามขนาดของลวดเเละของชิ้นมีหลากหลายรูปเเบบจะมีอะไรบ้างไปดูกัน

1. การเชื่อมเเบบ MMA หรือเรียกอีกอย่างว่าการเชื่อมเเบบไฟฟ้า

การเชื่อมเเบบไฟฟ้านั้นมีขั้นตอนก่อนเชื่อมดังนี้

  • เความเร็วในการเชื่อม
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามน้อย
  • เชื่อมได้ง่าย ไม่ต้องใช้ทักทํกษะในการเชื่อมมาก
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้บางชนิด
  • เครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้ราคาไม่สูงเปรียบเทียบกับราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้อง

การปรับกระเเสเชื่อมไฟฟ้าหรือ MMA

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบไฟฟ้าหรือ MMA

     เเน้นการเชื่อมเหล็กเป็นหลัก สำหรับอลูมิเนียม และสแตนเลสสามารถทำได้

2. การปรับกระเเสเชื่อม MIG/MAG

การเชื่อมเเบบ MIG/MAG มีขั้นตอนดังนี้

  • ความเร็วในขณะเชื่อมสูง
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามปานกลาง
  • ใช้เสลสูงในการติดตั้ง
  • ต้องใช้ทักษเเละความชำนาญปานกลางในการเชื่อม
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้บ้างชนิด
  • ราคาเครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้สูง เปรียบเทียบจากราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้อง

ขั้นตอนในการประกระเเสเชื่อมของระบบ MIG/MAG มีดั้งนี้

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบไฟฟ้าหรือ MIG

     เหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กที่ต้องการความรวดเร็ว แข็งแรง และประสิทธิภาพในการเชื่อมสูง สามารถเชื่อมอลูมิเนียม และสแตนเลสได้ด้วย

3. การปรับกรเเสเชื่อม TIG หรือ การเชื่อมอาร์กอน

การเชื่อมเเบบอาร์กอน หรือ TIG มีดังนี้

  • ความเร็วต่ำในขณะทำการเชื่อม
  • เเนวเชื่อมมีความสวยงามมาก
  • ใช้เวลาปานกลางในการติดตั้ง
  • ต้องใช้ทักษะในการเชื่อมสูง
  • สามารถเชื่อมวัสดุชิ้นงานได้หลากหลายชิ้น
  • เครื่องมือเเละอุปกรณ์ที่ใช้นั้นมีราคาสูง เปรียบเทียบกับราคาเครื่องเเละอุปกรณ์ ไม่รวมวัสดุสิ้นเปลื้องเป็นต้น

การปรับการเชื่อมอาร์กอนหรือ TIG มีดั้งนี้

ตัวอย่างชิ้นงานเชื่อมเเบบอาร์กอนหรือ TIG

     สามารถเชื่อมวัสดุได้หลากหลาย ให้ความแข็งแรงสูง แต่ความเร็วต่ำในการเชื่อม

เทคนิคการเชื่อมที่เหมาะสม

การเชื่อมด้วยไฟฟ้า (Arc Welding)
การเชื่อมแก๊ส (Gas welding)

          การเชื่อมด้วยไฟฟ้าเป็นวิธีการเชื่อมโลหะ โดยการทำให้โลหะหลอมละลายพร้อม ๆ กับลวดเชื่อม ด้วยกระแสไฟฟ้า

1. การเชื่อมด้วยไฟฟ้า (Arc Welding)

การเริ่มต้นอาร์ค

          การเริ่มต้นฝึกหัดเชื่อมจะเริ่มต้นจากการอาร์คก่อน การอาร์ค คือ ระยะห่างระหว่างปลายลวดเชื่อมกับผิวโลหะงาน ซึ่งเป็นระยะพอดีที่จะทาให้การอาร์คเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นอาร์ค มี 2 วิธีคือวิธีการขีดและวิธีการเคาะ

วิธีการขีด เป็นการบังคับให้ลวดเชื่อมสัมผัสกับโลหะงานโดยการขีดออกข้าง ๆ จนเกิดการอาร์ค แล้วยกลวดเชื่อมขึ้นเล็กน้อยจนได้ระยะอาร์คที่ต้องการคือประมาณ 1/8 นิ้ว

วิธีการเคาะ เป็นการบังคับให้ลวดเชื่อมกระแทรกลงไปในแนวดิ่งจนสัมผัสกับโลหะงานแล้วยกขึ้น-ลง จนเกิดการอาร์ค ตามที่ต้องการ

ตำแหน่งท่าเชื่อมไฟฟ้า

     ในการเชื่อมไฟฟ้าจะมีท่าเชื่อมในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1. การเชื่อมต่อเกยในท่าราบ  การเชื่อมต่อเกยท่าราบเป็นแบบของรอยต่อที่นิยมใช้กันมากในงานอุตสาหกรรม ด้านต่าง ๆ จัดเป็นรอยต่อที่ประหยัด ไม่เสียเวลาในการเตรียมงาน รอยต่อเกยจะมีความแข็งแรงสูงสุดเมื่อเชื่อมรอยต่อทั้งสองด้าน ในการเชื่อมจะต้องไม่ใช้กระแสไฟสูงเกินไป มุมของลวดเชื่อมในขณะเชื่อมประมาณ 45 – 60 องศา การเคลื่อนไหวลวดเชื่อมจะเป็นลักษณะเดินหน้า ถอยหลัง ไปตามแนวเชื่อม การเคลื่อนไหวลวดเชื่อมเช่นนี้จะเป็นการอุ่นโลหะงานให้ร้อนล่วงหน้าก่อนที่จะเชื่อมไปถึง ซึ่งจะทำให้รอยเชื่อมนูนสมบูรณ์ และป้องกันไม่ให้สแลคหลอมเหลวไหลล้ำหน้ารอยเชื่อม

2. การเชื่อมรอยต่อชนท่าราบ  รอยต่อชนท่าราบเป็นรอยต่อที่ใช้กันมากสำหรับการต่อโลหะงานทั่วไป โลหะงานซึ่งหนาเกิน ¼ นิ้ว เมื่อทำการเชื่อมรอยต่อทั้งสองด้านแล้วจะเป็นรอยต่อที่มีประสิทธิภาพสูงมาก การที่จะให้รอยเชื่อมมีความแข็งแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของการซึมลึกของรอยเชื่อม ขนาดของการซึมลึกจะขึ้นอยู่กับขนาดของลวดเชื่อมและกระแสที่ใช้ในการเชื่อม สาหรับงานที่มีความหนา 3/16 นิ้ว เมื่อเชื่อมรอยต่อเพียงด้านเดียว รอยต่อจะเว้นระยะไว้เสมอ การเชื่อมรอยต่อชนท่าราบจะต้องปรับกระแสให้เหมาะกับลวดเชื่อม ขณะเชื่อมลวดเชื่อมจะต้องเอียงไปข้างหน้า 10 – 20 องศาตามทิศทางที่ลวดเชื่อมเคลื่อนที่ไป

3. การเชื่อมรอยต่อรูปตัวทีในท่าราบ  การเชื่อมรอยต่อชนรูปตัวที จะต้องปรับกระแสไฟให้สูงพอที่จะทำให้โลหะหลอมเหลวจนไหลได้ง่าย เพื่อทำให้เกิดการซึมลึกลงไปจนถึงส่วนล่างสุดของรอยต่อ การบังคับลวดเชื่อมไปยังมุมของรอยต่อ ต้องชี้อยู่บนโลหะแผ่นตั้งมากกว่าแผ่นนอน พร้อมกับเอียงลวดเชื่อมไปข้างหน้าประมาณ 30 – 40 องศา พยายามเคลื่อนลวดเชื่อมด้วยความเร็วสม่ำเสมอ และมีการเดินหน้าถอยหลังในระยะสั้น เพื่อเป็นการอุ่นงานส่วนล่างสุดของรอยต่อ และยังป้องกันสแลคหลอมเหลวล้าหน้ารอยเชื่อม

4. การเชื่อมในท่าขนานนอน  การเชื่อมรอยต่อแบบต่าง ๆ ในท่าขนานนอน การบังคับลวดเชื่อม จะต้องบังคับให้ลวดเชื่อมชี้ขึ้นเป็นมุม 20 องศา เพื่อใช้แรงผลักดันจากการอาร์ค ช่วยพยุงให้โลหะที่หลอมเหลวในแอ่งไหลลงมาไหลย้อนขึ้นไปกับรอยเชื่อม นอกจากนี้จะต้องเอียงลวดเชื่อมเป็นมุม 20 องศาในทิศทางการเคลื่อนที่ของลวดเชื่อมด้วย เช่นเดียวกับการเชื่อมในท่าราบ

5. การเชื่อมในท่าตั้ง  การฝึกหัดท่าเชื่อมลักษณะนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ การเชื่อมขึ้น (Up Hill) และการเชื่อมลง (Down Hill) การเชื่อมขึ้น มีเทคนิคที่สาคัญ คือการบังคับให้ลวดเชื่อมตั้งฉากกับพื้นผิวโลหะงานและการเอียงลวดเชื่อมทำมุมชี้ขึ้นไม่เกิน 10 องศา การปรับกระแสควรปรับให้มีกระแสค่อนข้างสูงเสมอ ขณะทาการเชื่อมควรเคลื่อนไหวลวดเชื่อมเป็นแบบยกขึ้น แล้วลดต่าลงมาที่แอ่งโลหะหลอมเหลวเป็นระยะประมาณ 2 นิ้วแต่ระวังอย่าให้การอาร์คดับ

การเชื่อมลง  จะต้องปรับกระแสให้เพิ่มขึ้น เอียงลวดเชื่อมทำมุมชี้ขึ้นประมาณ 15 – 20 องศา และบังคับลวดเชื่อมให้ตั้งฉากกับผิวหน้าของโลหะงาน ขณะเชื่อมควรใช้ระยะอาร์คสั้น ๆ เพราะตามปกติแล้วสแลค จะละลายไหลล้าหน้ารอยเชื่อม เมื่อเห็นว่าสแลค ไหลพยายามลดระยะอาร์คให้สั้นลง พร้อมกับเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น ถ้าไม่ได้ผลให้เคาะสแลคออกทำความสะอาด แล้วเริ่มเชื่อมต่อไป

6. ท่าเชื่อมเหนือศีรษะ  เป็นท่าเชื่อมที่ปฏิบัติยากที่สุด และเกิดอันตรายกับผู้ปฏิบัติมากที่สุดถ้าหากสวมชุดปฏิบัติงานไม่ถูกต้อง ที่สาคัญสำหรับการเชื่อมท่าเหนือศีรษะคือ การปรับขนาดของกระแสไฟต้องให้สูงไว้ และใช้ระยะอาร์คสั้น ๆ บังคับให้ลวดเชื่อมตั้งฉากกับพื้นผิวโลหะงาน และทำมุมเอียงประมาณไม่เกิน 10 องศา ตามทิศทางการที่ลวดเชื่อมเคลื่อนที่ไป การเคลื่อนที่ลวดเชื่อมจะเป็นลักษณะเดินหน้าถอยหลัง หรือเคลื่อนไหวลวดเชื่อมแบบส่าย

7. แบบของรอยต่อเชื่อม  แบบของรอยต่อเชื่อมต่าง ๆ สามารถแยกออกได้ตามพื้นฐานของรอยต่อเชื่อมเบื้องต้นสาหรับผู้ฝึกปฏิบัติงานใหม่ ได้ดังนี้

1. แบบรอยต่อชน (Butt Joint)

2. แบบรอยต่อเกย (Lap Joint)

3. แบบรอยต่อมุม (Corner Joint)

4. แบบรอยต่อตัวที (T – Joint)

5. แบบรอยต่อขอบ (Edge Joint)

ความปลอดภัยในการเชื่อมไฟฟ้า

     การปฏิบัติการเชื่อมใด ๆ ผู้ปฏิบัติต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด อุบัติเหตุกับตนเองหรือผู้อื่นความปลอดภัยเหล่านี้ได้แก่

1. การป้องกันนัยน์ตาและใบหน้า เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีอุตราไวโอเลต และรังสีอินฟาเรท หรือสะเก็ดไฟ โดยการสวมแว่นตานิรภัยและหน้ากากเชื่อม

2. ขณะทำการเชื่อมควรสวมเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยวัสดุทนไฟหรือติดไฟยาก

3. ถ้าเสื้อผ้าหรือกางเกงที่มีกระเป๋าจะต้องมีฝาปิด กางเกงจะต้องไม่พับขา

4. ขณะปฏิบัติงานควรสวมถุงมือหนังสาหรับการต่อเชื่อม

5. ถ้าไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า ห้ามทำการต่อไฟฟ้าเข้าเครื่องเชื่อมเอง ควรปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างไฟฟ้า

6. อย่าปล่อยให้ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดถูกรังสีขณะทาการเชื่อม

7. ห้องปฏิบัติงานต้องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ป้องกันควันที่เกิดจากการเชื่อม

8. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานในที่เปียกชื้นเพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดได้

9. ขณะทำการเชื่อมต้องคานึงถึงแหล่งวัตถุไวไฟ ควรให้อยู่ห่าง ๆ

10. ควรมีถังดับเพลิงอยู่ในบริเวณที่ทำการเชื่อม

1. การป้องกันนัยน์ตาและใบหน้า เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีอุตราไวโอเลต และรังสีอินฟาเรท หรือสะเก็ดไฟ โดยการสวมแว่นตานิรภัยและหน้ากากเชื่อม

2. ขณะทำการเชื่อมควรสวมเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยวัสดุทนไฟหรือติดไฟยาก

3. ถ้าเสื้อผ้าหรือกางเกงที่มีกระเป๋าจะต้องมีฝาปิด กางเกงจะต้องไม่พับขา

4. ขณะปฏิบัติงานควรสวมถุงมือหนังสาหรับการต่อเชื่อม

5. ถ้าไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า ห้ามทำการต่อไฟฟ้าเข้าเครื่องเชื่อมเอง ควรปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างไฟฟ้า

6. อย่าปล่อยให้ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดถูกรังสีขณะทาการเชื่อม

7. ห้องปฏิบัติงานต้องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ป้องกันควันที่เกิดจากการเชื่อม

8. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานในที่เปียกชื้นเพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดได้

9. ขณะทำการเชื่อมต้องคานึงถึงแหล่งวัตถุไวไฟ ควรให้อยู่ห่าง ๆ

10. ควรมีถังดับเพลิงอยู่ในบริเวณที่ทำการเชื่อม

2. การเชื่อมแก๊ส (Gas welding)

          การเชื่อมแก๊ส หมายถึงขบวนการที่ทำให้โลหะประสานกัน โดยการให้ความร้อนกับโลหะงานจนถึงอุณหภูมิที่โลหะชนิดนั้นหลอมละลาย โลหะเมื่อหลอมละลายจะรวมตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน การเชื่อมแก๊สเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันการเชื่อมมักจะใช้เปลวไฟที่เกิดจากการสันดาประหว่างแก๊สเชื้อเพลิงกับอากาศ การสันดาประหว่างแก๊สเชื้อเพลิงกับอากาศแยกออกเป็นแบบต่างๆ ได้ 3 แบบ คือ

1. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงกับออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศโดยตรง เช่น การสันดาปของเทียนไข หรือตะเกียงแก๊สที่แม่ค้าใช้ขายของตอนกลางคืนการสันดาปชนิดนี้จะมีผลดังนี้

   1.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิต่ำ

   1.2 เปลวไฟมีความสะอาดน้อยมาก

   1.3 ให้ปริมาณความร้อนต่ำ

2. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงในบรรยากาศผ่านรูดูดอากาศของหัวเผา ตัวอย่างของการสันดาปลักษณะนี้ได้แก่ ตะเกียงบุนเสน (Bunsen) การสันดาปลักษณะนี้จะมีผลดังนี้

   2.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงกว่าแบบแรก

   2.2 เปลวไฟมีความสะอาดมากกว่าแบบแรก

   2.3 ให้ปริมาณความร้อนมากกว่าแบบแรก

3. การสันดาปของแก๊สเชื้อเพลิงกับออกซิเจนที่นามาจากแหล่งที่มีความดัน โดยผสมกันก่อนการสันดาป เช่นการสันดาปของหัวเชื่อมแก๊ส การสันดาปลักษณะนี้จะมีผลดังนี้

    3.1 เปลวไฟที่ได้จากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงสุด

    3.2 เปลวไฟมีความสะอาดมากที่สุด

    3.3 ให้ปริมาณความร้อนมากที่สุด

การจุดเปลวไฟเชื่อม และการดับเปลวไฟแก๊ส

          ก่อนจุดเปลวไฟเชื่อมทุกครั้งต้องตรวจดูอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยเริ่มจากเครื่องกำเนิดแก๊ส หรือขวดบรรจุแก๊สว่ามีรอยรั่วหรือไม่ เครื่องบังคับแก๊ส ลิ้นนิรภัย เกจวัดความดัน และอุปกรณ์อื่น ๆ รวมทั้งสายเชื่อม หัวเชื่อม ที่สาคัญคืออุปกรณ์ป้องกันไฟกลับต้องมีน้ำบรรจุเต็มตามระดับที่กำหนดเมื่อตรวจอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย ให้เปิดลิ้นที่ขวดบรรจุแก๊สออกซิเจนก่อนโดยหมุนเปิดอย่างช้า ๆ และหมุนเปิดจนสุดระยะเกลียวทุกครั้ง เพื่อป้องกันแก๊สรั่วออกทางก้านลิ้น หลังจากนั้นให้เปิดลิ้นขวดบรรจุแก๊สอะเซทิลีน โดยหมุนเปิดเพียง 1-2 รอบ แล้วให้ปล่อยประแจที่ใช้เปิดคาไว้บนก้านลิ้น ปรับขนาดความดันแก๊สสำหรับหัวเชื่อม หรือหัวตัดตามที่บริษัทผู้ผลิตหัวเชื่อม หรือหัวตัดแนะนำไว้ เปิดลิ้นแก๊สออกซิเจนที่มือถือเชื่อมประมาณ 1/6 รอบ แล้วเปิดลิ้นอะเซทิลีนเล็กน้อยจากนั้นทดลองใช้มือบังที่ปลายหัวเชื่อม จะรู้สึกว่ามีแก๊สพุ่งออกมาจึง ใช้เครื่องมือจุดไฟจุด โดยให้มีระยะห่างจากปลายหัวเชื่อมประมาณ 25 ม.ม. และปรับเปลวไฟให้มีลักษณะตามต้องการการจุดเปลวไฟถ้าไม่เปิดแก๊สออกซิเจนจะมีเขม่าและควันมาก เพราะการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าเปิดแก๊สออกซิเจนมากก็จะจุดไฟไม่ติด ดังนั้นต้องเปิดแก๊สออกซิเจนให้พอเหมาะ

          การดับเปลวไฟที่ถูกต้องให้ปิดลิ้นแก๊สอะเซทิลีนก่อนแล้วจึงปิดแก๊สออกซิเจน เพราะจะไม่ทาให้เกิดเขม่าควัน และยังเป็นที่แน่ใจว่าเปลวไฟนั้นได้ดับจริง ๆ

ลักษณะของเปลวไฟที่ใช้ในการเชื่อมแก๊ส

          เปลวไฟ มีหน้าที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงาน จนมีอุณหภูมิสูงถึงจุด หลอมละลายขณะที่ปฏิบัติการเชื่อม เปลวไฟที่ดีเหมาะกับการเชื่อมต้องพุ่งเป็นลากรวยแหลมยาวออกจากหัวเชื่อม โดยตำแหน่งที่ร้อนที่สุดห่างจากปลายเปลวไฟชั้นในประมาณ 2 – 10 ม.ม. และมีอุณหภูมิสูงถึง 3,200 องศาเซลเซียส ถ้าเปลวไฟไม่ถูกต้องจะมีผลต่อการเชื่อม และคุณภาพของแนวเชื่อม ลักษณะของเปลวไฟที่ไม่ถูกต้องจำแนกออกได้ดังนี้

1. เปลวไฟเอียงและเปลวไฟแตกบานปลาย

เปลวไฟที่พุ่งออกจากหัวเชื่อมอาจจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแตกบานปลายไม่พุ่งเป็นลำกรวย ซึ่งมีสาเหตุได้หลายประการได้แก่ รูทางออกของแก๊สเอียงหรือขยายออกเป็นปากระฆัง มีสิ่งสกปรก สะเก็ดโลหะหรือเขม่าติดค้างภายในและบริเวณหัวทิป

วิธีแก้ไข้  ให้ทำความสะอาดหัวทิปเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่ โดยใช้ปลายหัวทิปถูกับแผ่นไม้เนื้อแข็งกลับไปกลับมาหลาย ๆ ครั้งในขณะที่ยังมีเปลวไฟอยู่ สิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะหลุดออกๆไป ไม่ควรถูกับไม้เนื้ออ่อนหรือแผ่นไม้ที่ทาสี เพราะจะทาให้เสี้ยนไม้หรือสีอุดตันหัวทิปข้อควรระวัง ห้ามใช้หัวทิปถูกับเหล็ก คอนกรีต อิฐ หิน เพราะจะทำให้หัวทิปสึกกร่อนได้

2. เปลวไฟขาดตอนจากปลายหัวทิป

การจุดเปลวไฟที่หัวเชื่อมบางครั้งจะพบว่าเปลวที่เกิดขึ้นพุ่งแรงและขาดตอนจากปลายหัวทิปมาก ไม่สามารถนำไปเชื่อมได้ ที่เป็นเช่นนี้เกิดจากความดันของแก๊สที่พุ่งผ่านหัวทิปสูงมากเกินปกติ ทำให้อัตราการไหลของแก๊สสูงตามไปด้วย

วิธีแก้ไข้  ให้ลดความดันของแก๊สออกซิเจนหรือแก๊สอะเซทิลีนให้ต่ำลงจากเดิม โดยปรับที่เครื่องบังคับแก๊สและปรับที่ลิ้นมือถือหัวเชื่อมแก๊ส จนเปลวไฟเชื่อมเป็นปกติ

3. เปลวไฟมีละอองน้ำปนออกมา

สังเกตได้จากเปลวไฟพุ่งแรงและมีละอองสีแดงเป็นฝอยอยู่ด้านในของเปลวไฟ สาเหตุเกิดจากอัตราการไหลของแก๊สอะเซทิลีนสูงกว่าปกติหรือมีน้ำในอุปกรณ์นิรภัยสูงกว่ากาหนด ทาให้น้ำส่วนที่เกินไหลปนออกมากับเปลวไฟ

วิธีแก้ไข้  ให้ถอดข้อต่อสายเชื่อมแก๊สอะเซทิลีนออกจากมือถือหัวเชื่อมแล้วปล่อยให้น้ำที่ปนมาและตกค้างอยู่ในสายเชื่อมออกให้หมด แล้วต่อยึดสายเข้ากับมือถือเชื่อมเหมือนเดิม จากนั้นให้ตรวจระดับน้ำในอุปกรณ์นิรภัยว่าได้ระดับตามที่กำหนดหรือไม่ ถ้าน้อยไปก็เติม ถ้ามากไปก็ปล่อยออกให้ได้ระดับที่กำหนด

4. เปลวไฟเปลี่ยนแปลงเสมอ

เปลวไฟจากหัวเชื่อมเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ บางครั้งพุ่งแรงบางครั้งพุ่งค่อยสลับกันไป เกิดจากความดันของแก๊สออกซิเจน หรือแก๊สอะเซทิลีนไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นเพราะเครื่องบังคับแก๊สไม่ทำงานตามปกติชิ้นส่วนภายในชำรุด เป็นต้น

วิธีแก้ไข้  ให้เปลี่ยนเครื่องบังคับแก๊สตัวใหม่ วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเครื่องบังคับแก๊สชำรุดหรือไม่ให้ดูที่เข็มเกจ วัดความดันเคลื่อนไหวหรือสั่นอยู่บ่อย ๆ

5. เปลวไฟเปลี่ยนเป็นเปลวออกซิไดซิ่ง ในขณะเชื่อม

สาเหตุเกิดจากการเชื่อมเป็นเวลานาน ๆ ทำให้หัวทิปมีอุณหภูมิสูง ทำให้แก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนแยกตัวไม่รวมกันตามปกติ แก๊สอะเซทิลีนจะลดปริมาณลงแต่แก๊สออกซิเจนยังคงเดิมทำให้เปลวกลาง เปลี่ยนเป็นเปลวออกซิไดซิ่ง

วิธีแก้ไข้  ต้องปรับเปลวไฟใหม่โดยเพิ่มปริมาณแก๊สอะเซทิลีนให้สูงขึ้นจากเดิม จนกระทั่งเปลวไฟเปลี่ยนเป็นเปลวคาร์บูไรซิ่งแล้วจึงลดแก็สอะเซทิลีนลงช้า ๆ ให้เปลวเปลี่ยนเป็นเปลวกลางเช่นเดิม หรือให้หยุดเชื่อมชั่วคราวเพื่อปล่อยให้หัวเชื่อมเย็นลงก่อนจึงทำการเชื่อมต่อไป

ชนิดของเปลวไฟที่ใช้ในการเชื่อม

          การสันดาปของแก๊สทั้งสองชนิดจากหัวเชื่อมแบ่งออกได้ 3 ลักษณะตามอัตราส่วนผสมดังนี้

1. เปลวคาร์บูไรซิ่ง (Carburizing Flame)

          เกิดจากการสันดาปของแก๊สทั้งสองชนิด แต่แก๊สอะเซทิลีนจะมากกว่าแก๊สออกซิเจน การสันดาปของเปลวชนิดนี้จะมีแก๊สอะเซทิลีนจะเผาไหม้ไม่หมด ถ้าทำการเชื่อมในห้องหรือสถานที่อับอากาศไม่มีอากาศถ่ายเทอาจเป็นอันตรายได้ ความร้อนที่ได้จากเปลวไฟชนิดนี้จะต่ำกว่า 3,200 องศาเซลเซียส นิยมใช้สาหรับเชื่อมโลหะที่มีจุดหลอมตัวต่ำ เช่น ตะกั่ว อะลูมิเนียม และอื่น ๆ นอกจากนี้คาร์บอนที่เหลือจากการสันดาปจะทาหน้าที่คล้ายฟลักซ์คลุมแนวเชื่อม ป้องกันแก๊สออกซิเจนไม่ให้เข้ามารวมตัวกับแนวเชื่อม สังเกตเปลวไฟจะมี 3 ชั้น

2. เปลวกลาง (Neutral Flame)

          เกิดจากการสันดาประหว่างแก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนจากหัวเชื่อมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 สังเกตได้ว่าเปลวไฟจะมี 2 ชั้น ชั้นในจะมีสีขาวนวลอมฟ้าสุกใสต่อจากปลายหัวทิป เปลวชั้นนอกล้อมรอบเป็นรูปกรวยแหลมยาว เปลวไฟชนิดนี้ให้อุณหภูมิความร้อนสูงสุดที่ 3,200 องศาเซลเซียส ตำแหน่งที่ร้อนที่สุดห่างจากเปลวไฟชั้นในประมาณ 2 – 10 ม.ม. ขึ้นอยู่กับขนาดหัวเชื่อม เปลวชนิดนี้นิยมใช้เชื่อมโลหะทั่ว ๆ ไป

3. เปลวออกซิไดซิ่ง (Oxidizing Flame)

          เป็นเปลวที่มีแก๊สออกซิเจนมากกว่าแก๊สอะเซทิลีนการสันดาปของแก๊สชนิดนี้จะมีแก๊สออกซิเจนตกค้างอยู่ และสังเกตได้ชัดว่าเปลวชนิดนี้มีเพียง 2 ชั้นเปลวในเล็กและหดสั้นติดกับปลายหัวทิป เปลวชั้นนอกมีสีฟ้าอ่อน อุณหภูมิของเปลวชนิดนี้จะต่ำกว่าเปลวกลางเล็กน้อย นิยมใช้เชื่อมโลหะประเภท บรอนซ์ เพราะจะทาให้คุณสมบัติของบรอนซ์ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านำเปลวชนิดนี้ไปเชื่อมเหล็กเหนียวจะเกิดฟอง มองเห็นบ่อละลายไม่ชัด แนวเชื่อมเปราะ และมีรูพรุนไม่แข็งแรง

          การระบายความร้อนหัวเชื่อม ขณะที่เชื่อมติดต่อกันเป็นเวลายาวนานหัวเชื่อมจะร้อนกว่าปกติ การระบายความร้อนจากหัวเชื่อมทำได้โดยจุ่มหัวเชื่อมลงในถังน้ำ ปิดเฉพาะลิ้นแก๊สอะเซทิลีนส่วนแก๊สออกซิเจนเปิดไว้เช่นเดิม อาจจุ่มหัวเชื่อมลงถังน้ำจนถึงข้อต่อระหว่างหัวเชื่อมและมือถือเพื่อระบายความร้อนทุกส่วน

การส่ายหัวเชื่อม การตั้งมุมหัวเชื่อมและการป้อนลวดเชื่อม

          ขณะที่ทำการเชื่อมชิ้นงานต้องตั้งมุมหัว เชื่อมให้เอนไปด้านหลังประมาณ 30 – 45 องศา กับผิวงานและทำมุมฉากกับด้านข้างทั้งสองด้าน หัวเชื่อมอยู่สูงจากงานมีระยะห่างจากปลายเปลวไฟชั้นในถึงผิวงานประมาณ 2 – 10 ม.ม.ตามขนาดของหัวเชื่อม

          ในการเชื่อมทุกครั้งต้องใช้เปลวไฟเผาชิ้นงานบริเวณแนวที่จะเชื่อมจนร้อนหลอมละลายเป็นแอ่งกลมหรือที่เรียกว่า บ่อละลาย (Puddle) ซึ่งเป็นส่วนที่ร้อนที่สุดหลังจากนั้นให้ส่ายหัวเชื่อมเล็กน้อยเพื่อให้ความร้อนแก่ชิ้นงานได้อย่างทั่วถึง เมื่อชิ้นงานหลอมละลายเป็นบ่อละลายแล้วจึงเติมลวดเชื่อมลงไปเป็นตัวประสานชิ้นงาน ส่ายหัวเชื่อมพร้อมกับเคลื่อนที่ไปช้า ๆ สม่ำเสมอ พยายามรักษาระยะการส่ายหัวเชื่อมและป้อนลวดเชื่อมให้สัมพันธ์กันตลอดเวลา การส่ายลวดเชื่อมจำแนกได้หลายแบบช่างเชื่อมจะเลือกส่ายแบบใดก็ได้ตามถนัด แต่ต้องให้ทีความกว้างพอเหมาะกับขนาดความหนาและรอยต่อของชิ้นงาน
ถ้าส่ายหัวเชื่อมกว้างบ่อละลายที่เกิดขึ้นก็จะใหญ่ และลึกลงไปในชิ้นงานมาก การประสานซึมลึกในชิ้นงานของแนวเชื่อมจะดียิ่งขึ้น ถ้าชิ้นงานหนาบ่อละลายจะต้องกว้างตามไปด้วย ถ้าชิ้นงานบาง การส่ายหัวเชื่อมต้องแคบลงเพื่อให้บ่อละลายมีขนาดเล็ก ถ้าส่ายหัวเชื่อมกว้างมากไปความร้อนจะสะสมมากทาให้ชิ้นงานทะลุได้ ดังนั้นการส่ายหัวเชื่อมต้องสัมพันธ์กับชิ้นงาน และลักษณะของรอยต่อด้วย

รอยต่อแบบต่าง ๆ สาหรับการ เชื่อมแก๊ส  รอยต่อพื้นฐานสาหรับ การเชื่อม แก๊สมีดังนี้

 1. รอยต่อชน (Butt Joint)

 2. รอยต่อเกย (Lap Joint)

 3. รอยต่อมุมเชื่อมด้านนอก (Corner Joint Weld Outside)

 4. รอยต่อมุมเชื่อมด้านในหรือรอยต่อฟิลเลท (Fillet Joint)

ตำแหน่งท่าเชื่อมจะแบ่งออกได้ดังนี้

 1. ท่าราบ (Flat Position)

 2. ท่าขนานนอน (Horizontal Position)

 3. ท่าตั้ง (Vertical Position)

 4. ท่าเหนือศีรษะ (Overhead Position)

รวมสินค้าแนะนำ

ลวดเชื่อม

          งานเชื่อมโหละ เป็นงานที่ต้องการความชำนาญ และความปราณีตในการเชื่อมโหละ เพราะ หากเชื่อมหนักจนเกินไป จะทำให้เหล็ก หรือโหละชำรุดได้ และหากเชื่อมเบา หรือ บางเกินไป อาจจะทำให้วัสดุเหล็กอหรือโลหะไม่สามารถติดกันได้ โดยการเชื่อโลหะจะต้องควบคุมแรงของมือ หรือ ทักษะที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว แต่สำหรับมือใหม่ ไม่ต้องตกใจไปนะคะ ว่า จะไม่ได้ หากทุกทางทำการฝึกฝน แอดเชื่อว่า ทุกท่านจะต้องทำได้และเป็นช่างมืออาชีพได้อย่างแน่นนอนเลยค่ะ !!
เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับบทความ “4 เคล็ดลับในการลวดเชื่อม (สำหรับผู้เริ่มต้น)” การที่เราจะเป็นช่างเชื่อมที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ทุกคนจะต้องเริ่มจากการที่ต้องทำการฝึกฝนกันนะคะ

 ขอบคุณข้อมูลจาก